ท่ามกลางโลกยุคโควิดนี้ เราจะมีท่าทีในการมีชีวิตอยู่อย่างไร จึงจะถูกต้อง เหมาะสม และไม่ทุกข์หรือทุกข์น้อย เรื่องนี้มีสิ่งชวนใคร่ครวญในสองระดับ ระดับแรกคือ เราจะมองการระบาดของโควิดในฐานะวิกฤติหรือโอกาส และยามต้องเผชิญกับการเจ็บป่วยเพราะการติดเชื้อ เราควรจะวางท่าที วางจิต วางใจ อย่างไร
โควิดเป็นทั้งวิกฤติและโอกาส
โลกอยู่กับโควิดมาเกือบสองปีแล้ว มองด้านที่เป็นโทษ โควิดคือภัยคุกคามมนุษย์ ทำให้ต้องเจ็บป่วย ล้มตาย ทุกข์ทรมาณ พลัดพราก ถูกจำกัดอิสรภาพ คนจำนวนมากแม้ยังไม่ได้ติดเชื้อ แต่ก็มีชีวิตด้วยความเครียด วิตกกังวล ฯลฯ สังคมทั้งโลกกำลังระส่ำระสายกับผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสาธารณสุข
แต่หากมองในด้านที่เป็นคุณ โควิดกำลังให้บทเรียนครั้งสำคัญกับมนุษย์ เป็นบทเรียนที่คนยุคปัจจุบันมองข้าม หลงลืม นั่นคือบทเรียนเกี่ยวกับธรรมชาติ ความตาย และความหมายของการมีอยู่ของชีวิต
เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต โรคระบาดเช่นโควิดไม่ใช่ครั้งแรก และจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย โลกเคยเผชิญวิกฤติโรคระบาดครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตคนครั้งละนับล้านมาแล้วอย่างน้อย 5 ครั้ง เช่นไข้ดำ (Black Death หรือ Bubonic Plague) ในศตวรรษที่ 14 (ค.ศ.1347-1351) ที่ชาวยุโรปกว่า 200 ล้านคนเสียชีวิต ไข้หวัดเสปน (Spanish Flu) ในต้นศตวรรษที่20 (ค.ศ. 1918-1819) คร่าชีวิตคนกว่า 40 ล้าน และล่าสุดคือเอชไอวี/เอดส์ ที่ยังคงอยู่ และได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 30 ล้านคน
ที่จริงมีสัญญานเตือนมานานพอสมควรว่า โลกอาจจะเผชิญกับโรคระบาดครั้งใหญ่
การกระทำของมนุษย์ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า การพัฒนา ได้ทำลายดุลยภาพของระบบนิเวศ เกิดความเสียหายทั้งใต้ดิน บนดิน ในน้ำ และในท้องฟ้า จริงๆ แล้วการระบาดของโรคเป็นเรื่องธรรมชาติ วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ค้นพบทฤษฎีเชื้อโรค วัคซีน และการพัฒนาด้านสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีส่วนทำให้โรคระบาดหลายโรคหายไป หรือลดขนาดและความรุนแรงลง แต่ก็ดูจะเป็นเรื่องชั่วคราว และยิ่งอาจทำให้เราหลงผิดว่ามนุษย์สามารถเอาชนะธรรมชาติได้แล้ว
ในรอบ 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา โลกได้เผชิญปัญหาโรคติดเชื้อที่เรียกว่าโรคอุบัติใหม่ (emerging disease) ที่ส่วนใหญ่เกิดจากไวรัสจากสัตว์ (Zoonosis) และโรคอุบัติซ้ำ (re-emerging disease) คือการกลับมาของโรคที่เคยเชื่อว่าควบคุมหรือกวาดล้างได้แล้ว เช่น มาลาเรีย วัณโรค ไข้เลือดออก เป็นต้น ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมโรคที่เกิดจากพยาธิสภาพทางสังคมที่ทวีความรุนแรงขึ้น (ความดัน เบาหวาน มะเร็ง จิตเวช ความรุนแรง อุบัติเหตุ และยาเสพติด ฯลฯ) ทั้งหมดตอกย้ำว่า มนุษย์ไม่เคยชนะธรรมชาติแม้แต่น้อย สิ่งหนึ่งที่เชื่อว่าชนะ กลับเกิดซ้ำ สิ่งที่ไม่เคยเกิด กลับมีมากขึ้น และปัญหาเดิมๆ กลับทวีความซับซ้อนขึ้น ยากขึ้น เป็นต้น
ภาพกว้างๆเหล่านี้ บอกเราว่า จริงๆ แล้วการระบาดของโควิดไม่ใช่เรื่องผิดธรรมชาติ โควิดระบาดทั้งโลกเพราะมีเหตุปัจจัยที่อธิบายได้
โลกที่ผ่านมา ก้าวมาอยู่ในโหมดการเคลื่อนย้ายเชื่อมโยงกันมหาศาล โลกาภิวัตน์คือเครือข่ายถนนที่ขนส่งไวรัสอย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง วัฒนธรรมการบริโภคแบบสุดขั้ว ทำให้ผู้คนมีการกิน เที่ยว และใช้จ่ายสารพัดรูปแบบ ผับ บาร์ ร้านอาหาร แหล่งบันเทิงกลางคืน ความเสื่อมทางศีลธรรม และการคอรัปชั่น (บ่อนการพนัน การลักลอบนำคนงานผิดกฎหมายเข้าประเทศ) สร้างคลัสเตอร์การติดเชื้อทั่วไปหมด
เมื่อโควิดระบาด การควบคุมที่ดีคือการตัดวงจร ด้วยการหยุดกิจกรรมที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดทั้งหลาย เป็นการหยุดโลก เพื่อหยุดโรค แต่เพราะเศรษฐกิจของโลกวางอยู่บนเสรีทางการค้า มีการท่องเที่ยวและบริการเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อน เมื่อโลกต้องหยุด ผลกระทบจึงเกิดตามมาอย่างมหาศาล ธุรกิจโรงแรม การบิน ร้านอาหาร และอื่นๆที่เกี่ยวข้องกระทบหมด ผู้คนตกงาน ธุรกิจร้านค้าทุกระดับต้องหยุดกิจการ ทำให้กระหน่ำซ้ำเติมชีวิตของคนหาเช้ากินค่ำในสังคมอย่างหนัก
คนทั่วไปในโลกมอง โควิด ว่าคือภาวะผิดปกติ ไม่ควรเกิด และต้องเอาชนะ โควิดคือหายนภัย ไม่เพียงเพราะทำให้เจ็บป่วย ล้มตาย แต่เพราะขัดขวางวิถีชีวิตแบบเดิม สร้างผลกระทบมากมาย จึงอึดอัดขัดข้อง ดิ้นรน เรียกร้อง เพื่อนำโลกแบบเดิมกลับมา โลกที่เชื่อว่าเต็มไปด้วยเสรีภาพ ความสุข สะดวกสบาย และทันสมัย คนในหลายประเทศจึงปฏิเสธและประท้วงกดดันมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล รอคอยที่จะเฉลิมฉลองวันเวลาที่โควิดจะหายไป คนทั้งโลกต่างเฝ้ารอและฝากความหวังไว้ที่วัคซีน ที่เชื่อว่าจะเป็นอาวุธมหัศจรรย์
มองในมุมกลับ โควิด หาใช่ตัวร้ายอย่างที่คนส่วนใหญ่คิด เหมือนกับที่เคยมีผู้ให้ความเห็นว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ มนุษย์ ต่างหากที่เป็นไวรัส ส่วนโควิดคือวัคซีน มนุษย์คือตัวการที่สร้างการทำลายล้างโลกนี้อย่างมหาศาล ธรรมชาติจึงใช้โควิดเพื่อหยุดมนุษย์ เพื่อยับยั้งการทำลายล้าง ซึ่งก็จริงไม่น้อย เพราะภายหลังการระบาดของโควิด สภาพแวดล้อมของโลกดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ทั้งคุณภาพอากาศ ปริมาณฝุ่นละออง คุณภาพน้ำ และการดำรงชีวิตของสัตว์ต่างๆ
ในทัศนะผู้เขียน โควิด กำลังให้บทเรียนในระดับกระบวนทัศน์ที่สำคัญยิ่ง โควิดระบาดไปได้ทั่ว โดยผ่านสิ่งที่เรียกว่าความเจริญและทันสมัยของโลก ทัศนะแม่บทที่เน้นการมีชีวิตแบบกินมาก ใช้มาก ผลิตมาก บริโภคมาก มีตัวเองเป็นศูนย์กลาง กอบโกยธรรมชาติมาสนองความอยาก จนกลายเป็นการเบียดเบียนสรรพชีวิต ทำลายสมดุลในธรรมชาติ ทำลายการพึ่งตนเอง ส่งผลกระทบเป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจไปทั่ว ฯลฯ เป็นทั้งเหตุของการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว เป็นอุปสรรคต่อการควบคุม และทำให้ผลกระทบรุนแรง หนักหนาสาหัส ในเกือบทุกประเทศ
โควิดแสดงให้เห็นว่า วัคซีนที่มีประสิทธิภาพ คือวัคซีนสังคม การหยุดโรค จึงต้องหยุดโลก ที่หมายความว่า ทัศนะแม่บทในการใช้ชีวิตของโลกต้องถูกทบทวนจริงจัง โควิดไม่อาจแก้ด้วยการคิด ทำ และอยู่แบบเดิม ทัศนะของการหยุดโควิดเพื่อเอาชีวิต (บริโภคนิยมสุดขั้ว) แบบเดิมกลับคืนมา ไม่ใช่สัมมาทิฐิทางเลือกเดียวในเรื่องนี้คือ ใช้วิกฤติโควิดเป็นโอกาส เพื่อทบทวน เปลี่ยนแปลงในระดับรากฐาน ใช้โควิดเป็นโจทย์ เป็นสัญญานเตือน ให้หยุดพิจารณาใคร่ครวญในทุกระดับ ทั้งปัจเจกจนถึงโลก
สงบเย็นในท่ามกลางวิกฤติได้อย่างไร
การเกิดปัญญาเห็นความจริงที่แท้ เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ความเป็นเหตุเป็นปัจจัย มีที่มาและที่ไปตามกฏธรรมชาติ ก็จะช่วยให้เราสามารถวางจิต วางใจ วางท่าทีในการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง สงบเย็นได้
ความจริงของโควิดก็คือ เป็นวิกฤติของโลก มีความซับซ้อนยุ่งยาก และอยู่พ้นขีดความสามารถของประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งที่จะจัดการแก้ไข โควิดเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆเซลเดียว แต่สามารถฝ่าทะลุทะลวงระบบและกลไกในการป้องกันทั้งมวลที่มนุษย์เคยสร้างไว้ ตั้งแต่ระดับยีน ประเทศ และโลก เป็นการเปิดเผยความหลงผิดของมนุษย์ที่เชื่อมาตลอดว่า เราเก่งขึ้น พัฒนาขึ้น และเหนือกว่าธรรมชาติ วิกฤติระดับนี้จึงเป็นเรื่องป่วยการที่จะไปเพ่งโทษหาคนผิด หรือร้องเรียกหาอัศวินม้าขาว และเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ที่จะไปทุรนทุราย เครียด กังวล ตื่นกลัว ดิ้นรน หลบหนี
ท่าทีที่ถูกต้องในภาวะเช่นนี้ ควรเป็นการกำหนดชีวิตตามความเป็นจริง ทำใจให้ปกติ เตรียมพร้อม ไม่ประมาท ป้องกันตนเอง ด้วยการปรับชีวิตความเป็นอยู่ให้เหมาะสมตามความรู้ต่างๆที่มีอยู่ ไม่ตกอยู่ในกับดักของความตื่นตระหนก หนีเจ็บ หนีตาย และเมื่อทำทุกอย่างด้วยความไม่ประมาทแล้ว หากจะต้องป่วยไข้เพราะติดเชื้อ ก็ไม่ทุกข์ร้อนจนเกินไป ก็จัดการไปตามเหตุ ตามปัจจัย
จริงๆ แล้วโควิดกำลังให้บทเรียนเรื่องสัจจะของชีวิต โควิดเป็นโอกาสให้ได้ใคร่ครวญความจริงที่เป็นสามัญลักษณะของชีวิต คือ ความเจ็บ ความตาย และการพลัดพราก หากเราไม่เจอโควิด เราก็ต้องเจอภาวะทำนองนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว
แม้หากโชคร้ายติดเชื้อโรค นั่นก็เป็นโอกาสสำคัญ ที่จะได้ใช้ความเจ็บป่วยเป็นเงื่อนไขในการเรียนรู้ความจริงของชีวิตที่สูงขึ้น ที่ยามปกติคนเราไม่ได้เรียนรู้ ใช้หลักที่ท่านพุทธทาสเคยปรารภไว้ว่า “เจ็บป่วยที่ไร ฉลาดขึ้นทุกที” เพื่อมองให้เห็นความเป็นธรรมดาของความเจ็บและความตายที่ไม่มีใครหลีกหนีไปได้ แม้ในยามเจ็บปวดทุกข์ทรมานเพราะโรค ก็ใช้เป็นโอกาสในการพิจารณาความจริงชั้นสูง คือความจริงว่าด้วยความไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ความไม่เที่ยง การไม่อาจทนต่อการเปลี่ยนแปลงได้ของสังขาร ใช้ความเจ็บปวดเป็นเครื่องมือในการฝึกจิต ฝึกการปล่อยวาง เตรียมพร้อมที่จะเดินทางสู่วาระสุดท้าย ให้สงบเย็น ทุรนทุรายน้อยที่สุด และหากจะโชคดีไม่ถึงกับเจ็บหนัก เสียชีวิต ก็ใช้โควิดเป็นบทเรียนที่จะทำให้ไม่ประมาทกับชีวิตที่เหลืออยู่ในยุคโควิดเช่นนี้ จึงเป็นโอกาสทองของชีวิตที่จะได้ใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง จริงจังกับชีวิตที่ผ่านมาและที่เหลืออยู่ หาทางปรับเปลี่ยนแก้ไข ให้การใช้ชีวิต การทำงาน กำหนดนิยามของความสุข ความสำเร็จ ความรู้ ฯลฯ ต่างๆเสียใหม่อย่างจริงจัง โดยการกำหนดท่าทีทั้งหมดเหล่านี้ เราจะอยู่กับวิกฤติโควิดด้วยท่าทีที่ปล่อยวาง แต่ก็ไม่ประมาท ใช้โอกาสอันหาได้ยากนี้ในการใคร่ครวญการมีชีวิตอยู่ เปลี่ยนวิกฤติครั้งนี้ให้เป็นโอกาส เพื่อทำชีวิตที่เหลืออยู่ให้สงบเย็น แม้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้าก็ตาม
วันที่เขียน: 11 พฤษภาคม 2564
แหล่งข้อมูล: ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล