บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
โครงการนี้ใช้การประเมินเพื่อการพัฒนา (Developmental Evaluation) เป็นเครื่องมือในการศึกษา วิเคราะห์ และค้นหาแนวทางในการขับเคลื่อนปัญหาเด็กนอกระบบ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือ 1) สร้างองค์ความรู้ว่าด้วยความซับซ้อนของปัญหาความไม่เสมอภาคทางการศึกษาของเด็กนอกระบบ 2) พัฒนาศักยภาพคนทำงานการศึกษากับเด็กนอกระบบ 3) พัฒนารูปแบบ/กลไกเชิงระบบในการส่งเสริมความเสมอภาคทางการศึกษาให้กับเด็กนอกระบบ และ 4) พัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับการขับเคลื่อนทั้งในระดับชาติและพื้นที่หรือบริบทเฉพาะ โครงการมีการดำเนินงานใน 4 พื้นที่ (area-based) คือเทศบาลนครนครสวรรค์ เทศบาลนครขอนแก่น จังหวัดฉะเชิงเทรา และอาศรมวงศ์สนิท จังหวัดนครนายก กระบวนการวิจัยใช้การสร้างพื้นที่หรือเวทีเพื่อการยกระดับ ขยาย หรือปรับเปลี่ยนมุมมองเพื่อให้เห็นธรรมชาติความซับซ้อนของปัญหาเด็กนอกระบบ โดยอาศัยกรอบแนวคิดเชิงระบบ (systems thinking) การพัฒนาศักยภาพด้านในด้วยกระบวนการจิตตปัญญาศึกษา และการส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายการเรียนรู้ร่วมกันของคนทำงานจากภาคีเครือข่ายต่างๆ อันเป็นไปตามแนวคิดการประเมินเพื่อการพัฒนา สาระสำคัญของการทำงานเน้นในสามมิติหลัก คือเกิดปัญญาเรียนรู้ความซับซ้อน เกิดการยกระดับมิติด้านจิตใจเพื่อให้สามารถเผชิญกับวิกฤตต่างๆ ในชีวิตและสังคมอย่างถูกต้องและเหมาะสม และการเกิดเครือข่ายที่เป็นระบบนิเวศเพื่อเสริมการทำงานกลุ่มผู้เข้าร่วมในกระบวนการวิจัยทั้งหมด ที่ประกอบด้วยกลุ่มครูโรงเรียนเทศบาลในสังกัดเทศบาลนครนครสวรรค์ และภาคีอื่นๆ กลุ่มครูในสังกัดการศึกษานอกระบบของจังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่มเครือข่ายองค์กรคนทำงานด้านเด็ก 25 องค์กรของจังหวัดขอนแก่น และเครือข่ายคนทำงานด้านเด็กของมูลนิธิเสมสิกขาลัย
ผลการดำเนินการของโครงการเกิดบทสรุปสำคัญ 4 ประการอันเป็นบทเรียนสำคัญที่อาจนำไปสู่ทิศทางในการดำเนินการดูแลเด็กนอกระบบต่อไป ดังนี้ 1) ธรรมชาติที่ซับซ้อนและหลากหลายของชีวิตเด็กนอกระบบต้องการระบบการศึกษาที่หลากหลายและเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิต โดยเป้าหมายของการศึกษาอยู่ที่การพัฒนาชีวิตของผู้เรียนให้เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ และสามารถเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งทั้งกับตนเอง ผู้อื่น และธรรมชาติรอบตัว ไม่ใช่เป็นการศึกษาเพื่อรู้วิชาเป็นวิชาๆ หรือเพื่อให้ได้วุฒิการศึกษาสำหรับประกอบอาชีพ 2) ชวนกันคิดใหม่กับคำว่า “ในระบบ” และ “นอกระบบ” คือการเชิญชวนให้ทุกฝ่ายกลับมาตั้งคำถามที่ตัวระบบว่า จะทำอย่างไรจึงจะทำให้ระบบการศึกษานั้นเหมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติอันซับซ้อนของเด็ก แทนที่จะพยายามดัดปรับให้เด็กเข้าสู่ระบบการศึกษากระแสหลักแต่เพียงถ่ายเดียว 3) มายาคติ 3 ประการสำคัญในการดูแลเด็กนอกระบบที่ผ่านมาที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนฐานคิดหลักของการทำงาน นั่นคือ การมองปัญหาแบบเชิงเดี่ยว แยกส่วน และลดทอน ทำให้ไม่เห็นภาพรวมทั้งหมด, การมองไม่เห็นศักยภาพที่แท้จริงของเด็กกลุ่มนี้ เนื่องจากศักยภาพนั้นไม่ตรงกับสมรรถนะตามกระแสหลักที่ระบบต้องการ และการไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่างปัญหาเด็กนอกระบบกับสังคมโดยรวม และบทสรุปประการสุดท้ายคือ 4) กระบวนการทำงานที่สำคัญและจำเป็น คือการทำงานเชิงพื้นที่ (area-based) โดยเปิดพื้นที่ที่หลากหลาย พัฒนาหลากหลายทักษะให้คนทำงาน อันรวมถึงทักษะการทำงานมิติภายใน การใช้กระบวนการจิตตปัญญาศึกษา การเยียวยา และการเสริมพลังอำนาจภายในให้ผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา จนได้ค้นพบคุณค่าความหมายของชีวิต
ปีที่ตีพิมพ์: 2565
แหล่งข้อมูล: ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
ฉบับเต็ม: เด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาบนเส้นทางของความซับซ้อน สถานการณ์และทางออก