มนุษย์เรารับรู้เรื่องราวรอบตัวได้ลุ่มลึกและจริงแท้มากขึ้น ตามคุณภาพของจิตใจที่เติบโตขึ้นไป การวิจัยที่นำเสนอการเห็นและการทำเช่นที่ว่านี้ได้ก็คือ การวิจัยที่เป็น Spirituality คือเป็นงานวิจัยที่ส่งเสริมจิตวิญญาณของมนุษย์ให้ได้เติบโต พร้อม ๆ กับฉายภาพของความจริงในโลกได้อย่างลุ่มลึกและจริงแท้มากขึ้น นั่นเอง
“วันก่อนฉันเห็นเธอเป็นแบบหนึ่ง และแอบตัดสินเธอไปแล้ว นั่นได้ทำให้ฉันทำหลายสิ่งหลายอย่างบนความเชื่อว่าเธอและโลกของเธอเป็นเช่นนั้น มาวันนี้ ใจฉันเปิดกว้างขึ้นและเข้าใจอะไรใหม่ ๆ เกี่ยวกับเธอ ฉันจึงเปลี่ยนการกระทำของฉันที่มีต่อเธอ (และโลกของเธอ) นี่แหละ คือการเรียนรู้ที่ยกระดับจิตของฉันให้กว้างขวางขึ้น ส่งผลต่อความจริงที่ฉันรับรู้ให้เปลี่ยนแปลงไป”
งานวิจัยที่ส่งเสริมการเห็นความจริงที่เติบโตขึ้นได้นี้ มีอยู่ไหม และทำได้อย่างไร? วันนี้ โฮมเมด 35 ขอแนะนำงานวิจัยงานหนึ่งชื่อ Autoethnography as a Tool for Transformative Learning About White Privilege โดย Drick Boyd ทำไว้เมื่อปี 2008
ลักษณะสำคัญประการหนึ่งของการทำงานวิจัยแบบ Spirituality ก็คือ การขยับเข้าใกล้กันและกันมากขึ้น ระหว่างผู้วิจัยกับคนหรือสิ่งที่ถูกวิจัย การเป็นไปของฉันย่อมกระทบถึงการเป็นไปของเธอ ฉันและเธอสัมพันธ์กันด้วยเหตุว่า มีความเป็นฉันและมีความเป็นเธอ ที่เกาะเกี่ยวกันอยู่เสมอ ฉันไม่สามารถแยกตัวออกจากเธออันเป็นปรากฏการณ์ที่ฉันสนใจอย่างเด็ดขาดและเฝ้ามองดูเธออยู่เฉย ๆ มันเป็นไปได้ยาก ดังนั้น การกลับมาตระหนักรู้ในตัวเอง (Self-conscious) จึงเป็นเหตุเบื้องต้นที่จะทำให้ฉันรู้จักเธอได้อย่างจริงแท้มากขึ้น นั่นเอง
งานวิจัยแบบอัตชาติพันธุ์วรรณนา (Autoethnography) ยืนอยู่บนพื้นฐานที่ว่า นักวิจัยที่ศึกษาชุมชนอยู่พบว่า ตัวของเขาเองก็มีอิทธิพลต่อชุมชนที่เขาศึกษาอยู่ ปัจเจกบุคคลสามารถร่วมสร้างความเป็นจริงให้เกิดขึ้นจนส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่บริบทที่เขาดำรงอยู่ได้ เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ความเป็นจริงส่วนบุคคลมีพลังในการสะท้อนภาพและส่งกระทบต่อความเป็นจริงของสังคม รวมถึงในทางกลับกันด้วย
อาจกล่าวได้ว่า งานวิจัยแบบอัตชาติพันธุ์วรรณนา เป็นงานเชิงชาติพันธุ์วรรณนาในแง่ระเบียบวิธี เป็นงานเชิงวัฒนธรรมในแง่การวิเคราะห์ตีความ และเป็นงานเชิงอัตชีวประวัติในแง่ตัวเนื้อหาที่นำเสนอ ผู้วิจัยเองจึงหลีกเลี่ยงเสียมิได้ ที่จะต้องเปิดเผยตัวตนอย่างจริงใจและหมดเปลือก (ในมุมเชิงวัฒนธรรมเรื่องนั้น ๆ) อาศัยทักษะของการกลับมาใคร่ครวญสภาวะภายในของตนอย่างลึกซึ้ง เท่าทัน และเห็นกระจ่างแจ้งถึงที่มาแห่งความรู้สึกทั้งหลาย
ดริค บอยด์ เล่าว่า งานวิจัยนี้เกิดขึ้นจากคำพูดกระแทกใจที่หญิงคนหนึ่งพูดใส่เขาในงานอบรมว่า
“ทุกครั้งที่เขาพูดอะไรอะนะ เขาดูยังกะเป็นฮิตเลอร์ เหมือนเขารู้ดีไปหมดเสียทุกอย่าง!”
สมองของดริคมึนชา ไม่แน่ใจว่าได้ยินมันถูกหรือเปล่า และไม่รู้จะพูดตอบว่าอะไร ……. เขาดูกลายเป็นตัวร้ายที่ถูกทุกคนจ้องมองมาอย่างไม่อาจหลบเลี่ยงได้ และนี่คือจุดเปลี่ยนผันสำคัญอันเป็นที่มาของเรื่องราวทั้งหมด
ตอนนั้น ดริคอยู่ในการอบรมที่ชื่อว่า “สร้างชุมชนแห่งชาวคริสต์ผู้ใฝ่หาความยุติธรรม : เชื่อมร้อยช่องว่างทางเชื้อชาติและชนชั้น” และคนที่พูดใส่เขาคือ เอเลเนอร์ สตรีอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน จากเหตุการณ์นี้และก่อนหน้านั้นสองสามสัปดาห์ ทำให้ดริคเริ่มมีคำถามกับตัวเองว่า เขาเข้าใจความเป็นชายผิวขาวและอภิสิทธิ์แห่งคนขาวของเขาอย่างไรกันแน่ เขาใช้การศึกษาในตนเองที่เรียกว่าอัตชาติพันธุ์วรรณนา เพื่อจะทำการสะท้อนใคร่ครวญภายใน นำไปสู่การเรียนรู้ถึงผลกระทบของความเป็นคนขาวของเขาที่มีต่อพฤติกรรม คำพูด และความรู้สึกนึกคิด
ดริคได้ย้อนเล่าถึงประวัติชีวิตของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อครั้งวัยเยาว์ที่เขาเติบโตขึ้นมาบนข้อได้เปรียบที่มองไม่เห็นจากการเป็นคนขาว มาจากครอบครัวชนชั้นกลางถึงสูงในมินนิอาโปลิส ในวิทยาลัย เขาได้เห็นความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม เศรษฐกิจ และอำนาจ เคยทำงานช่วยเหลือเด็ก ๆ หลายสัญชาติที่ยากจน ทำงานเป็นศาสนาจารย์ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และเข้าข่ายที่เรียกว่าเป็นปัญญาชน ปัจจุบันเปิดคอร์สอบรมเกี่ยวกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมและทำงานเกี่ยวกับประเด็นการเป็นคนขาว บททบทวนตนเองตรงนี้ ได้ทำให้ดริคเริ่มตั้งข้อสังเกตเห็นในตัวเองว่ามี “ระยะห่างทางอารมณ์” กล่าวคือ มีการตัดขาดกันระหว่างการทำงานที่ตัวเขามุ่งมั่นทำเรื่องความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ กับรายละเอียดของการใช้ชีวิตจริงประจำวันของเขาเอง
เขาเป็นคนไม่อยู่นิ่งเฉย แต่พยายามเข้าอบรมเรียนรู้เกี่ยวกับการต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติอยู่เนือง ๆ กระนั้น ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังไปไม่ถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งจริง ๆ ที่เกี่ยวกับความเป็นคนขาวของเขาเอง จนกระทั่งได้มาเข้าคอร์สนี้เพียงเพื่อให้ความเชื่อมั่นและมุมมองในตัวเองถูกเขย่าอย่างแรง
ภายหลังที่ดริคโดน “กล่าวหา” ในวันนั้นแล้ว เขาก็ได้ลองเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้ ด้วยการตั้งคำถามใหญ่ว่า
“ความเป็นคนขาวของผมถูกแสดงออกไปอย่างไร เวลาที่ผมมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น?”
“ผมได้ส่งผ่านบรรยากาศแห่งการมีอภิสิทธิ์และความเหนือกว่าออกไปอย่างไร โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ?”
เขาอาศัยกรอบวิธีการของ Mindful Transformative Learning ด้วยการกลับมามีสติตระหนักรู้ในมุมมองภายใน การสะท้อนใคร่ครวญ การท้าทายมุมมองเดิมด้วยการลองใช้คำพูดและการกระทำแบบใหม่ ๆ ทั้งหมดเป็นการเดินทางภายในที่เขากำลังจะทำกับตัวเอง และจะบอกเล่าเรื่องราวผ่านแง่มุมสำคัญที่เขามีประสบการณ์ตรง ร่วมกับการระลึกถึงความทรงจำ การจดบันทึกและการใช้เอกสารส่วนตัวต่าง ๆ รวมถึงการพูดคุยสนทนากับผู้ให้ข้อมูลอีกสองคน บาร์บารา และแคเธอรีน ผู้ซึ่งอยู่ร่วมเหตุการณ์กับเขา (ยังมีต่อ)
วันที่เขียน: 23 กุมภาพันธ์ 2566
แหล่งข้อมูล: Homemade 35