ดริคเล่าถึงวันแรกที่เขามาเข้าร่วมเวิร์กชอป ณ โบสถ์แห่งหนึ่งในเมือง สายลมหนาวเดือนมกราหวีดหวิวผ่านใบหน้าเขา จนกระทั่งได้เข้าไปสู่ภายในอาคารจึงได้พบหน้ากับผู้เข้าร่วมทุกคน หลังจากเปิดวงและแนะนำตัวรอบแรกแล้ว กระบวนกรได้ให้ทุกคนได้เล่าถึงปัญหาที่แต่ละคนเจออยู่เกี่ยวกับงานการเชื่อมร้อยช่องว่างทางเชื้อชาติและชนชั้น โดยไม่ได้พูดลงไปในเรื่องเฉพาะตัว ดริคได้เล่าแบบกว้าง ๆ ถึงความพยายามของเขาในการสร้างสัมพันธ์กับกลุ่มผู้นำและหน่วยงานที่ให้บริการในชุมชนในเมืองเชสเตอร์ กับทั้งเปรยถึงความไม่ไว้วางใจที่เขาสัมผัสได้จากคนรอบตัวเวลาที่เขาเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนผิวขาว จากจุดนั้น มันได้สร้างความรู้สึกถูกกดทับและรอยแยกบางอย่างขึ้นกับใจของผู้เข้าร่วมหลายคนที่เป็นแอฟริกันอเมริกัน เพียงแต่เจ้าตัวยังไม่ได้ตระหนักเห็น
ดริคเล่าต่ออย่างออกรส เกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อผู้เข้าร่วมบางคน ที่เขารู้สึกชอบและไม่ชอบ (เพราะดูขี้โอ่อวด) ต่อกิจกรรมอันน่าสนใจที่จะตามมาในอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้า รวมถึงความกระตือรือร้นที่อยากเรียนรู้ต่อกับคนกลุ่มนี้
สัปดาห์ต่อมา เขาได้รับแจ้งจากกระบวนกรการอบรมว่า เขาคือหนึ่งในสองคนที่ “พูดมากที่สุด” และถูกขอให้พูดน้อยลงแต่ฟังมากขึ้น กับคำพูดนี้ทำให้เกิดบาดแผลที่มาพร้อมความงุนงง เขาคิดว่า “ก็ถ้าเรามีเรื่องที่จะพูด แล้วจะต้องทำไมต้องเงียบอยู่ล่ะ ฉันมาที่นี่เพื่อเรียนรู้และฉันจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดก็ด้วยการถกเถียงอภิปราย” และเหมือนให้จะรู้สึกว่า “อาทิตย์ที่แล้ว ท่าทีของฉันทำให้เพื่อบางคนรู้สึกไม่สบายใจ มาอาทิตย์นี้ฉันยังถูกห้ามไม่ให้อธิบายถึงตัวเองอีก …”
ในการอบรมสัปดาห์ที่สาม ดริคถูกทำให้เป็นตัวตลกในสายตาของคนส่วนใหญ่ เมื่อต้องมาทำ Role-play กับแคเธอรีน โดยเขาต้องเล่นเป็นคนขาวที่ไม่รู้เรื่องอะไร ที่มัวแต่พูดถึงความยุติธรรมกับสันติภาพ แต่ไม่เคยเห็นเข้าไปในใจจริง ๆ ถึงความต้องการของคนผิวสี เขาถูกผลักให้ไปอยู่บนขอบ พร้อมกับเสียงคัดค้านในใจว่า “นี่ฉันแค่สวมบทนะ มันไม่ใช่ตัวจริงของฉัน” ฉากการเรียนรู้ในครั้งต่อ ๆ มานำมาสู่การสนทนาถึงความไม่เข้าใจกันในมุมการรับรู้ของคนแต่ละกลุ่ม ยิ่งนานเข้าก็ยิ่งมีแต่ความอึดอัดและขุ่นเคืองที่ปะทุขึ้นมาในคนนั้นคนนี้ “รอยร้าวระหว่างเรากับเขายิ่งแยกห่าง แทนที่จะเชื่อมร้อยตามชื่อการอบรม” เขาคิด
ช่วงนั้น ดริคแอบสังเกตเอเลเนอร์ เธอเป็นสตรีแอฟริกันอเมริกันวัยกลางคนที่ดูเงียบ ๆ เขาเข้าไม่ถึงเธอ ขณะที่เธอมักหันไปคุยกับผู้เข้าร่วมคนอื่นอย่างสนุกสนาน แรก ๆ ดริคคิดว่า “ก็แค่เธอขี้อายไง” แต่หลังจากนั้น เขาเริ่มเรียนรู้ว่า จริง ๆ ยังมีอะไรมากกว่านั้น
สัปดาห์ที่หก มีการอ่านหนังสือเรื่อง Enter the River ที่พูดถึงทาสชาวแอฟริกันที่ลุกขึ้นต่อต้านการโดนจับมาเป็นทาสโดยชาวยุโรป โดยฉายภาพว่าคนยุโรปเป็นพวกปิศาจที่โลภและเหยียดเชื้อชาติ ขณะที่คนแอฟริกันนั้นกล้าหาญและเป็นฮีโร่ ดริคเล่าว่า ตอนนั้นเขาอยากจะอธิบายมันในอีกแบบหนึ่ง จึงสะท้อนไปในกลุ่มว่า เขาก็ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อิสลาม และเห็นว่า จริง ๆ แล้ว ชาวยุโรปก็อาจจะกลัวพวกมุสลิมจึงต้องหันไปรุกรานแอฟริกาแทน! ถึงตอนนี้ เขาไม่ทันสังเกตเห็นความอึ้งในใบหน้าของคนในกลุ่ม แล้วความตึงเครียดก็คุโชนขึ้นมา
“ทุกครั้งที่เขาพูดอะไรอะนะ เขาดูยังกะเป็นฮิตเลอร์ เหมือนเขารู้ดีไปหมดเสียทุกอย่าง!”
แล้วประโยคที่หยุดโลกสำหรับดริคก็ดังขึ้น มันมาจากเอเลเนอร์ซึ่งนั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะ ความคิดถั่งโถมเข้ามาในสมอง ….. หนึ่งในนั้นคือ “เอเลเนอร์ คุณข้ามเส้นแล้วนะ มันไม่แฟร์เลย ไม่มีใครคิดจะพูดอะไรกับเธอเลยเหรอ …..”
ดริคเล่าต่อถึงความช็อคยิ่งกว่าที่เกิดขึ้นตามมา นั่นคือ บาร์บารา หนึ่งในทีมกระบวนกรพูดขึ้นว่า “เอเลเนอร์ ขอบคุณมากนะคะสำหรับคำพูดที่ซื่อสัตย์ของคุณ!”
“ฉันไปไม่เป็น ไม่รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างนั้นได้อย่างไร หรือฉันจะขอโทษเธอดีนะ เพื่อให้เธอขอโทษฉันกลับ” พลันคิดได้เช่นนั้น ดริคก็เอ่ยปากขอโทษเอเลเนอร์ไป แต่ปรากฏว่าไม่มีการตอบสนองกลับใด ๆ จากเธอ
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องอบรมหลังจากนั้นมันเบลอไปหมด พอหมดเวลา เขารีบเก็บข้าวของก่อนรีบเดินไปที่ประตู รู้สึกอับอาย ถูกละเมิดและละทิ้ง ดริคขับรถกลับบ้านโดยคิดว่าเขาควรจะกลับมาที่นี่อีกหรือไม่ในสองอาทิตย์ข้างหน้า
ท่ามกลางความปั่นป่วนจนนอนไม่หลับ บาร์บาราโทรหาดริคในอีกสองสามวันต่อมา เขาเลยได้รู้ว่า แม้คำพูดนั้นจะดูแย่มาก ๆ สำหรับเขาผู้ที่ทำงานเพื่อความสมานฉันท์ทางเชื้อชาติมาเกือบตลอดชีวิต แต่คนในห้องอบรมส่วนใหญ่กลับรู้สึกว่าที่เอเลเนอร์พูดขึ้นมานั้นถูกต้องแล้ว และถ้าเธอไม่พูดในวันนั้น แคเธอรีนจะเป็นคนพูดเอง! แม้เหตุการณ์นั้นอาจทำให้เขาอยากเล่นบทเป็นเหยื่อที่ถูกกระทำ แต่ก็มีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ และการตกเป็นเหยื่อก็ใช้ไม่ได้กับคนกลุ่มนี้ ดริคเลือกที่จะไปต่อกับบทเรียนที่เขางุนงงและไม่อาจจะทราบคำตอบได้เลยในวันนั้น
สิ่งที่ฉันเริ่มเข้าใจ
สิ่งหนึ่งที่ได้ปรากฏชัดขึ้นในประสบการณ์ของเขาก็คือ เขาเป็นคนขาวที่ในปัจจุบันทำสิ่งต่าง ๆ โดยละเลยและตัดขาดจากบริบทเชิงประวัติศาสตร์ที่ว่าด้วยการเหยียดเชื้อชาติที่เป็นมาโดยสิ้นเชิง เขาเสริมต่อว่า แม้สิ่งนี้จะกลายเป็นอดีตและไม่เป็นที่ยอมรับได้ในทุกวันนี้แล้วก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลกระทบของมันยังส่งต่อมาถึงระบบสังคม เศรษฐกิจ และจิตวิทยาในยุคปัจจุบัน เช่น กลไกบางอย่างที่ยังเอื้อประโยชน์ให้คนขาวอยู่
สิ่งแบบนี้มีผลต่อท่าทีและวิธีพูดของคนขาว รวมถึงตัวดริค ซึ่งเขายอมรับว่าเขามีแนวโน้มจะกินพื้นที่ของกลุ่ม พูดมากกว่าฟัง และสื่อสารโดยคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น
อภิสิทธิ์เป็นอะไรบางอย่างที่คนที่มีมันไม่อาจเห็นมันได้ แต่มันก็อยู่ของมันตรงนั้น
อีกสิ่งที่เขาเห็นตามมาก็คือ การทำตัวเป็นคนขึ้นหัว (ใช้ความคิดเชิงเหตุผล) เวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับอารมณ์ความรู้สึก โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่กับประเด็นทางเชื้อชาติ หลายครั้งคนแบบเขาจะใช้วิธีไปวิเคราะห์มันแทนที่จะอยู่กับของจริงตรงหน้าหรืออารมณ์จริง ๆ ตรงหน้า
เหล่านี้คือสิ่งที่ดริคเริ่มตกผลึกได้กับตัวเองหลังจากที่ได้ใคร่ครวญจากเหตุการณ์ที่ยากลำบากในวันนั้น เขาเชื่อมโยงปรากฏการณ์นี้ไปสู่แนวคิด Transformative Learning ของแจ็ค เมสิโรว์ ด้วยการออกจากกรอบความเชื่อเดิม ไปสู่มุมมองใหม่ที่สะท้อนเป็นการกระทำแบบใหม่ที่หลอมรวมเข้าสู่การดำเนินชีวิตจริงได้ เขาขยายความต่อไปว่า สองสามเดือนหลังจากนั้นเวลาที่เขากลับเข้าสู่การประชุมที่คณะ เขาเริ่มจะใช้ท่าทีของการเป็นผู้ฟังมากขึ้น และพูดน้อยลง ส่วนในบทสนทนาส่วนตัว เขาจะถามคู่สนทนาลงไปถึงสมมุติฐานในใจของเขา และแม้กระนั้น การฟังมากกว่าพูดก็ยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับคนอย่างเขาอยู่ดี ด้วยหลายครั้งก็อยากจะส่งเสียงดัง แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากแต่ก่อนก็คือ เดี๋ยวนี้เขาเริ่มตระหนักเห็นกลไกการทำงานในตัวเองที่ออกมาจากการมีอภิสิทธิ์ในแบบของคนขาว ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยมองเห็น
ดริคทิ้งท้ายว่า ทุกวันนี้ สิ่งนี้ยังคงเป็นอะไรที่เขาต้องเรียนรู้ต่อไป แต่ด้วยมุมมองที่ขยับขยายและเปลี่ยนไป เช่นการมีคำถามใหม่ ๆ กับตัวเองว่า “ฉันตอบสนองต่อเพื่อนที่เป็นคนขาวกับคนผิวสีแตกต่างกันออกไปอย่างไร” “การตีความต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ของฉันถูกตีกรอบจากความเป็นคนขาวของฉันอย่างไร” เป็นต้น
ในเวิร์กชอปอบรมวันสุดท้าย ดริคไปเข้าร่วม โดยไม่ได้ตั้งใจจะต้องไปพูดสิ่งใดเป็นพิเศษ กระบวนกรได้ให้แต่ละคนแลกเปลี่ยนเรื่องราวในครอบครัวให้แก่กันฟัง แล้วเขาก็พบว่าตัวเองเล่าถึงแต่สิ่งที่เป็นความมีอันจะกิน การศึกษาที่สูง และการได้รับโอกาสต่าง ๆ ในชีวิต ซึ่งแตกต่างจากเรื่องราวของเพื่อนคนอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด และในที่สุดก็ได้เห็นว่า
“ความปกติของฉันนั้นไม่ใช่ความปกติของคนอื่น ๆ – สิ่งที่ทุกคนในกลุ่มเคยมองเห็น (แต่ฉันมองไม่เห็น) มาวันนี้ได้ถูกมองเห็นได้โดยตัวฉันแล้ว”
ท้ายสุด ผู้วิจัยสรุปว่า การได้วิเคราะห์ประสบการณ์เชิงลึกในตัวเองผ่านสายตาเชิงวัฒนธรรมเช่นนี้ ได้ทำให้ตนเองเกิดมุมมองและกรอบการให้ความหมายใหม่ ที่ได้เข้าใจว่า ความเป็นคนขาวเคยบิดเบือนความคิดและพฤติกรรมที่ตนมีต่อคนผิวสีมาอย่างไร และด้วยความเข้าใจอย่างใหม่นี้ ย่อมทำให้เขามองตัวเอง นักศึกษาของเขา เพื่อนร่วมงาน และโลกรอบตัวด้วยสายตาแบบใหม่ เป็นความเข้าใจที่จะเท่าทันกลไกอภิสิทธิ์ความเป็นคนขาวได้ต่อไปไม่รู้จบ
เมื่อเราได้อ่านบทความนี้จบลงแล้ว อาจตั้งคำถามดูสักนิดว่า หากเราทอนการทำงานเชิงมิติด้านในออกไป เหลือไว้แต่การวิเคราะห์เรื่องราวผ่านความคิดและเหตุผลประจักษ์ ผลที่ได้จากงานชิ้นนี้จะแตกต่างออกไปหรือไม่อย่างไร หากผู้วิจัยไม่เอาตัวเองเข้ามาชำแหละและเปิดเผย เผยให้เห็นสภาวะและที่มาภายในจิตใจอย่างลึกซึ้ง ด้วยการตระหนักรู้เท่าทัน (เท่าทันต่ออคติ หรือรูปแบบเดิมที่ติดยึดอยู่ภายในจิตใจ) บางที ทางออกใหม่ ๆ อาจไม่เกิดขึ้น บางที ปลายทางที่ได้จากงานนี้อาจวนกลับไปอยู่กับปัญหาและโจทย์เดิม ๆ อยู่ก็ได้ …..
-จบตอน-
วันที่เขียน: 23 กุมภาพันธ์ 2566
แหล่งข้อมูล: Homemade 35