บทแนะนำงานวิจัยแบบ Spirituality   Ep.2(2) บทสะท้อนตนเองผ่านการสนทนา …..

HeadHeart

Experiences

Homemade 35

ส่วนต่อมาในงานวิจัย ได้นำเสนอบทสนทนา (Dialogue) ระหว่างผู้วิจัยสองคนคือ ทอม กับ จอยส์  ที่นำทั้งสองคนกลับไปใคร่ครวญเรื่องเล่าชีวิตวัยเยาว์ของทอม    โดยในส่วนนี้เป็นการนำเสนอทั้งบทสนทนาที่พูดโต้ตอบกันด้วยวาจา และบทใคร่ครวญภายในที่อยู่ในใจของคู่สนทนา

จอยส์เริ่มถามทอมว่ารู้สึกอย่างไรในความสัมพันธ์กับพ่อ รวมทั้งถามถึงความรู้สึกแบบฮีโร่เกินจริงที่ทอมพูดถึงพ่อของเขา  มันมีอะไรเกี่ยวข้องกับมุมมองของการเป็นบุรุษเพศหรือไม่   ทั้งนี้ ทั้งคู่ทราบว่า พ่อของทอมไม่ชอบโลกของนักวิชาการหรือพวกคันทรี่คลับด้วยมองว่ามันเต็มไปด้วยพวกกะเทยกับคนอ่อนแอ  แต่พ่อชอบคนบ้าน ๆ ที่มีไหวพริบ เช่น ชาวไร่ชาวนาเงินล้านที่ทันคน  ขณะที่มองว่าแม่เป็นคนที่ละเอียดอ่อนมีสุนทรีย์ (เป็นครูสอนเต้นรำ) ซึ่งพ่อไม่ชอบ

ทอมเริ่มเล่าไปถึงสาเหตุที่เขาเลือกมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย  ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อเขามองว่าคืองานสำหรับผู้หญิง ขณะที่ในมุมของแม่ งานนี้มีส่วนคล้ายกับท่านในแง่ที่ต้องมีมารยาททางสังคม  โดยทอมบอกว่า ที่เขามาเป็นอาจารย์ก็เพื่อจะแสดงให้พ่อเห็นว่า เขาจะเข้าไปป่วนวงการของพวกลูกแหง่นี้ได้อย่างไร    สิ่งที่ทอมเล่ามาถึงตรงนี้ได้ชี้ลึกลงไปว่า เขาจำเป็นต้องมีท่าทีแบบแม่ที่ “กล้าเผาเจ้ารถสโนว์โมบิล” ในตัวเขาเองเพื่อป้องกันไม่ให้เขาทำตามแบบพ่อที่นำไปสู่การทำร้ายตัวเองในที่สุด   ทอมมองว่า งานอาจารย์เป็นงานแบบผู้หญิงที่ต้องปราบให้อยู่หมัด มันไม่ใช่สิ่งที่พ่อชอบเลย แต่เขาก็เลือกไปเป็นอาจารย์ในตอนที่พ่อใกล้จะเสียชีวิต เสมือนเป็นของขวัญให้แก่ท่าน!

ทอมสั่นไหวด้วยมีน้ำตา พร้อมเล่าต่อว่า  “นี่คือของขวัญวันตายแด่พ่อ  ผมจะเป็นทั้งเครื่องพ่นไฟและรถสโนว์โมบิลให้พ่อ  ผมจะต้องคอยคุกคามอาชีพผู้หญิงอาชีพนี้ ผมจะเผาตัวเองไปกับมัน จะเอาตัวเองมาอยู่บนขอบ  ผมจะเสี่ยงชีวิตเพื่อบางสิ่งบางอย่าง  แน่ ๆ   ผมเอางานตัวเองเข้าไปเสี่ยง เอาความสุขของภรรยาผมเข้าไปเสี่ยง …….”

บทสนทนาได้นำทั้งคู่ไปสู่ความเข้าใจที่ว่า  ทอมกำลังนำคุณค่าแบบของพ่อเข้ามาอยู่ในโลกแบบของแม่    เขาคิดว่า การทำแบบนี้คือการทำ “งานของผู้ชาย”  และมันคือการให้เกียรติพ่อ

จอยส์ถามทอมต่อไปถึง “ความฝัน” ที่ทอมเก็บมันไว้ในใจให้เป็นเช่นนั้นมากว่า 50 ปี  จนทอมเริ่มเห็นในมุมใหม่ว่า  เขาเก็บสิ่งนี้เป็นความฝันก็เพื่อปกป้องความเป็นลูกผู้ชายให้กับพ่อ  หากเหตุการณ์นั้นเป็นความจริงตั้งแต่คืนนั้น  โลกของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ชื่นชมพ่อย่อมพังทลาย เพราะรู้ว่าสิ่งที่รักษาชีวิตเขาให้อยู่รอดต่อมากลับเป็นพลังของแม่ ไม่ใช่พ่อ

จากนั้น จอยส์ก็เริ่มหันมาชวนคุยเรื่องแม่บ้าง บนข้อสังเกตที่ว่า ทอมไม่เคยแสดงออกตรง ๆ ว่ารักและชื่นชมแม่  โดยถามว่าทอมแสดงออกถึงการชื่นชมแม่อย่างไรบ้างไหม    ทอมตอบไม่ได้แต่ยืนยันว่า โลกของเขายังเป็นโลกแบบลูกผู้ชายอยู่ดี ที่ต้องมีทั้งปืนไฟและรถแข่ง   

จอยส์เปลี่ยนเรื่องไปถามถึงการดื่มเหล้าของพ่อ  ทอมมองว่านั่นคือสิ่งที่พ่อทำเพื่อดึงความกล้าหาญออกมา รวมถึงใช้ปิดบังความรู้สึกผิดหวังหรืออ่อนแอในตัวเอง   จอยส์ชี้ให้ทอมเห็นว่า ทอมเองก็ไม่ได้ต้องทำเหมือนอย่างพ่อ ไม่ได้เป็นคนดื่มแอลกอฮอล์  ประสบความสำคัญในอาชีพอาจารย์ด้วยดี สามารถตีพิมพ์ผลงานสม่ำเสมอ และมีทักษะการเป็นผู้ดูแลที่ดี เป็นที่ชื่นชมของนักวิชาการรุ่นใหม่

การสนทนามาถึงจุดผกผันสำคัญตรงที่ ทอมจะสามารถออกจาก “ทางแยกสองขั้ว” นี้ได้อย่างไร  เป็นทางแยกระหว่างการมีมุมมองแบบของพ่อที่มองเรื่องความเป็นลูกผู้ชายโดยที่ไม่ปฏิเสธมัน กับการอยู่ในอาชีพการงานแบบที่แม่ชอบได้ซึ่งไม่เหมือนกับมุมมองแบบของพ่อเลย   ทำอย่างไรจะไม่ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง แต่สามารถต้อนรับการให้ความหมายใหม่ ๆ กับเรื่องของพ่อให้เข้ามาอยู่ในชีวิตจริงได้ …

“ทอมคะ การได้คุยกันในบ่ายวันนี้ มันช่วยทำให้คุณสามารถไว้อาลัยให้กับบางสิ่งบางอย่างที่คุณไม่สามารถทำได้ในชีวิตที่ผ่านมาหรือเปล่า”

“ใช่เลย มันเหมือนจะเป็นอย่างนั้น  ลองพูดมาอีกซิครับ”

“ฉันเดาว่าคุณคงได้เปิดเผยเรื่องราวที่คุณเล่ามันแบบขำ ๆ และไม่ยอมเข้าไปแตะกับอารมณ์  เดาว่าคุณคงถูกผลักให้ตกลงไปอยู่กับห้วงอารมณ์เศร้าอีกครั้ง   คุณอาจได้เสียใจในวันนี้กับสิ่งที่คุณไม่สามารถเสียใจได้ในวันนั้น ด้วยการเชื่อมโยงทางอารมณ์ความรู้สึกกับคุณแม่ซึ่งท่านได้จากไปด้วยโรคมะเร็ง  และกับคุณพ่อซึ่งท่านก็ได้จากไปอีกสิบปีถัดมา  และคุณคงจะต้องได้ปล่อยวางบางสิ่งบางอย่างที่มีค่ามากลงไป  เพื่อที่จะค้นพบสิ่งใหม่ เรื่องราวใหม่ของคุณ ซึ่งยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรในตอนนี้”

ไม่มีเราในวันโน้นก็ไม่มีเราในวันนี้  การปล่อยวางเรื่องเราเก่าที่เราเคยยึดว่าเป็นตัวเรามาก่อนมันเจ็บปวด   มันอาจน่ากลัวที่จะเห็นตัวเองแตกต่างไปจากเดิม  กระนั้น เรื่องราวของแต่ละคนยังคงดำเนินต่อไป บนการใคร่ครวญและตระหนักรู้ โดยไม่ต้องมีคำพูดสวยหรูเชิงจิตวิทยามาเป็นบทสรุปให้

อาจกล่าวได้ว่า ตัวอย่างของการทำงานวิจัยนี้ เป็นการแผ่ขยายความรู้ภายในของคนหนึ่งคนไปสู่คนสองคนหรือมากกว่า  จากความรู้แบบอัตวิสัย (Subjectivity) ไปสู่ความรู้แบบอัตวิสัยร่วม (Intersubjectivity)  จากความรู้แบบฉัน (I, ทัศน์หนึ่ง) ไปสู่ความรู้แบบเรา (We, ทัศน์สอง)   ตัวอย่างเล็ก ๆ นี้ชี้ให้เห็นจุดเริ่มต้นที่ดีของความพยายามที่จะศึกษาเรื่องราวของสังคมอย่างเป็นจิตวิญญาณ โดยตั้งต้นจากโลกภายในของกันและกันที่บรรสานสอดคล้อง  ในภาษาของเคน วิลเบอร์ เรียกการศึกษาแบบนี้ว่า การศึกษาความเป็นจริงด้านในของสังคมจากด้านใน    เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ด้านในร่วมกัน  เป็นการรู้สึกในความหมายที่เรามีร่วมกัน เป็นความเข้าใจร่วม เป็นข่ายใยแห่งสัมพันธภาพทางความรู้สึกนึกคิด   และการวิจัยแบบนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากทั้งสองคน (หรือหลายคน) ไม่มีความสั่นไหวกังวานของคลื่นในระดับเดียวกัน

-จบตอน-

วันที่เขียน: 24 กุมภาพันธ์ 2566

แหล่งข้อมูล: Homemade 35

บทความที่เกี่ยวข้อง

Blogs

Craig Holdrege ผู้เขียน สิรินันท์ นิลวรางกูร ผู้แปลและเรียบเรียง

ไวรัสและพลวัตแห่งชีวิต

Head

Concept/Theory Non-Religion Religion

Blogs

แสงอรุณ ลิ้มวงศ์ถาวร

รู้อะไรไม่สู้รู้ (คุณค่าใน) ตัวเอง: การศึกษา จิตวิญญาณ และการพัฒนามนุษย์

Head

Concept/Theory Non-Religion Practical

Blogs

ศรายุทธ์ ทัดศรี และ อริสา สุมามาลย์

สรุปภาพรวมการจัดงาน เวทีจิตตปัญญาเสวนา ครั้งที่ 81 “โอบกอดผู้ดูแล…ประสบการณ์ภายในของผู้ดูแลผู้ป่วยในครอบครัว”

Heart

Experiences Relationship

แชร์

แชร์ผ่านช่องทาง

หรือคัดลอก URL