ส่วนต่อมาในงานวิจัย ได้นำเสนอบทสนทนา (Dialogue) ระหว่างผู้วิจัยสองคนคือ ทอม กับ จอยส์ ที่นำทั้งสองคนกลับไปใคร่ครวญเรื่องเล่าชีวิตวัยเยาว์ของทอม โดยในส่วนนี้เป็นการนำเสนอทั้งบทสนทนาที่พูดโต้ตอบกันด้วยวาจา และบทใคร่ครวญภายในที่อยู่ในใจของคู่สนทนา
จอยส์เริ่มถามทอมว่ารู้สึกอย่างไรในความสัมพันธ์กับพ่อ รวมทั้งถามถึงความรู้สึกแบบฮีโร่เกินจริงที่ทอมพูดถึงพ่อของเขา มันมีอะไรเกี่ยวข้องกับมุมมองของการเป็นบุรุษเพศหรือไม่ ทั้งนี้ ทั้งคู่ทราบว่า พ่อของทอมไม่ชอบโลกของนักวิชาการหรือพวกคันทรี่คลับด้วยมองว่ามันเต็มไปด้วยพวกกะเทยกับคนอ่อนแอ แต่พ่อชอบคนบ้าน ๆ ที่มีไหวพริบ เช่น ชาวไร่ชาวนาเงินล้านที่ทันคน ขณะที่มองว่าแม่เป็นคนที่ละเอียดอ่อนมีสุนทรีย์ (เป็นครูสอนเต้นรำ) ซึ่งพ่อไม่ชอบ
ทอมเริ่มเล่าไปถึงสาเหตุที่เขาเลือกมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อเขามองว่าคืองานสำหรับผู้หญิง ขณะที่ในมุมของแม่ งานนี้มีส่วนคล้ายกับท่านในแง่ที่ต้องมีมารยาททางสังคม โดยทอมบอกว่า ที่เขามาเป็นอาจารย์ก็เพื่อจะแสดงให้พ่อเห็นว่า เขาจะเข้าไปป่วนวงการของพวกลูกแหง่นี้ได้อย่างไร สิ่งที่ทอมเล่ามาถึงตรงนี้ได้ชี้ลึกลงไปว่า เขาจำเป็นต้องมีท่าทีแบบแม่ที่ “กล้าเผาเจ้ารถสโนว์โมบิล” ในตัวเขาเองเพื่อป้องกันไม่ให้เขาทำตามแบบพ่อที่นำไปสู่การทำร้ายตัวเองในที่สุด ทอมมองว่า งานอาจารย์เป็นงานแบบผู้หญิงที่ต้องปราบให้อยู่หมัด มันไม่ใช่สิ่งที่พ่อชอบเลย แต่เขาก็เลือกไปเป็นอาจารย์ในตอนที่พ่อใกล้จะเสียชีวิต เสมือนเป็นของขวัญให้แก่ท่าน!
ทอมสั่นไหวด้วยมีน้ำตา พร้อมเล่าต่อว่า “นี่คือของขวัญวันตายแด่พ่อ ผมจะเป็นทั้งเครื่องพ่นไฟและรถสโนว์โมบิลให้พ่อ ผมจะต้องคอยคุกคามอาชีพผู้หญิงอาชีพนี้ ผมจะเผาตัวเองไปกับมัน จะเอาตัวเองมาอยู่บนขอบ ผมจะเสี่ยงชีวิตเพื่อบางสิ่งบางอย่าง แน่ ๆ ผมเอางานตัวเองเข้าไปเสี่ยง เอาความสุขของภรรยาผมเข้าไปเสี่ยง …….”
บทสนทนาได้นำทั้งคู่ไปสู่ความเข้าใจที่ว่า ทอมกำลังนำคุณค่าแบบของพ่อเข้ามาอยู่ในโลกแบบของแม่ เขาคิดว่า การทำแบบนี้คือการทำ “งานของผู้ชาย” และมันคือการให้เกียรติพ่อ
จอยส์ถามทอมต่อไปถึง “ความฝัน” ที่ทอมเก็บมันไว้ในใจให้เป็นเช่นนั้นมากว่า 50 ปี จนทอมเริ่มเห็นในมุมใหม่ว่า เขาเก็บสิ่งนี้เป็นความฝันก็เพื่อปกป้องความเป็นลูกผู้ชายให้กับพ่อ หากเหตุการณ์นั้นเป็นความจริงตั้งแต่คืนนั้น โลกของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ชื่นชมพ่อย่อมพังทลาย เพราะรู้ว่าสิ่งที่รักษาชีวิตเขาให้อยู่รอดต่อมากลับเป็นพลังของแม่ ไม่ใช่พ่อ
จากนั้น จอยส์ก็เริ่มหันมาชวนคุยเรื่องแม่บ้าง บนข้อสังเกตที่ว่า ทอมไม่เคยแสดงออกตรง ๆ ว่ารักและชื่นชมแม่ โดยถามว่าทอมแสดงออกถึงการชื่นชมแม่อย่างไรบ้างไหม ทอมตอบไม่ได้แต่ยืนยันว่า โลกของเขายังเป็นโลกแบบลูกผู้ชายอยู่ดี ที่ต้องมีทั้งปืนไฟและรถแข่ง
จอยส์เปลี่ยนเรื่องไปถามถึงการดื่มเหล้าของพ่อ ทอมมองว่านั่นคือสิ่งที่พ่อทำเพื่อดึงความกล้าหาญออกมา รวมถึงใช้ปิดบังความรู้สึกผิดหวังหรืออ่อนแอในตัวเอง จอยส์ชี้ให้ทอมเห็นว่า ทอมเองก็ไม่ได้ต้องทำเหมือนอย่างพ่อ ไม่ได้เป็นคนดื่มแอลกอฮอล์ ประสบความสำคัญในอาชีพอาจารย์ด้วยดี สามารถตีพิมพ์ผลงานสม่ำเสมอ และมีทักษะการเป็นผู้ดูแลที่ดี เป็นที่ชื่นชมของนักวิชาการรุ่นใหม่
การสนทนามาถึงจุดผกผันสำคัญตรงที่ ทอมจะสามารถออกจาก “ทางแยกสองขั้ว” นี้ได้อย่างไร เป็นทางแยกระหว่างการมีมุมมองแบบของพ่อที่มองเรื่องความเป็นลูกผู้ชายโดยที่ไม่ปฏิเสธมัน กับการอยู่ในอาชีพการงานแบบที่แม่ชอบได้ซึ่งไม่เหมือนกับมุมมองแบบของพ่อเลย ทำอย่างไรจะไม่ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง แต่สามารถต้อนรับการให้ความหมายใหม่ ๆ กับเรื่องของพ่อให้เข้ามาอยู่ในชีวิตจริงได้ …
“ทอมคะ การได้คุยกันในบ่ายวันนี้ มันช่วยทำให้คุณสามารถไว้อาลัยให้กับบางสิ่งบางอย่างที่คุณไม่สามารถทำได้ในชีวิตที่ผ่านมาหรือเปล่า”
“ใช่เลย มันเหมือนจะเป็นอย่างนั้น ลองพูดมาอีกซิครับ”
“ฉันเดาว่าคุณคงได้เปิดเผยเรื่องราวที่คุณเล่ามันแบบขำ ๆ และไม่ยอมเข้าไปแตะกับอารมณ์ เดาว่าคุณคงถูกผลักให้ตกลงไปอยู่กับห้วงอารมณ์เศร้าอีกครั้ง คุณอาจได้เสียใจในวันนี้กับสิ่งที่คุณไม่สามารถเสียใจได้ในวันนั้น ด้วยการเชื่อมโยงทางอารมณ์ความรู้สึกกับคุณแม่ซึ่งท่านได้จากไปด้วยโรคมะเร็ง และกับคุณพ่อซึ่งท่านก็ได้จากไปอีกสิบปีถัดมา และคุณคงจะต้องได้ปล่อยวางบางสิ่งบางอย่างที่มีค่ามากลงไป เพื่อที่จะค้นพบสิ่งใหม่ เรื่องราวใหม่ของคุณ ซึ่งยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรในตอนนี้”
ไม่มีเราในวันโน้นก็ไม่มีเราในวันนี้ การปล่อยวางเรื่องเราเก่าที่เราเคยยึดว่าเป็นตัวเรามาก่อนมันเจ็บปวด มันอาจน่ากลัวที่จะเห็นตัวเองแตกต่างไปจากเดิม กระนั้น เรื่องราวของแต่ละคนยังคงดำเนินต่อไป บนการใคร่ครวญและตระหนักรู้ โดยไม่ต้องมีคำพูดสวยหรูเชิงจิตวิทยามาเป็นบทสรุปให้
อาจกล่าวได้ว่า ตัวอย่างของการทำงานวิจัยนี้ เป็นการแผ่ขยายความรู้ภายในของคนหนึ่งคนไปสู่คนสองคนหรือมากกว่า จากความรู้แบบอัตวิสัย (Subjectivity) ไปสู่ความรู้แบบอัตวิสัยร่วม (Intersubjectivity) จากความรู้แบบฉัน (I, ทัศน์หนึ่ง) ไปสู่ความรู้แบบเรา (We, ทัศน์สอง) ตัวอย่างเล็ก ๆ นี้ชี้ให้เห็นจุดเริ่มต้นที่ดีของความพยายามที่จะศึกษาเรื่องราวของสังคมอย่างเป็นจิตวิญญาณ โดยตั้งต้นจากโลกภายในของกันและกันที่บรรสานสอดคล้อง ในภาษาของเคน วิลเบอร์ เรียกการศึกษาแบบนี้ว่า การศึกษาความเป็นจริงด้านในของสังคมจากด้านใน เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ด้านในร่วมกัน เป็นการรู้สึกในความหมายที่เรามีร่วมกัน เป็นความเข้าใจร่วม เป็นข่ายใยแห่งสัมพันธภาพทางความรู้สึกนึกคิด และการวิจัยแบบนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากทั้งสองคน (หรือหลายคน) ไม่มีความสั่นไหวกังวานของคลื่นในระดับเดียวกัน
-จบตอน-
วันที่เขียน: 24 กุมภาพันธ์ 2566
แหล่งข้อมูล: Homemade 35