การเขียนเรื่องเล่าของตนเอง รวมไปถึงงานแบบอัตชาติพันธุ์วรรณนา ที่ศึกษาตัวเองในบริบทใดบริบทหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ส่งเสริมความเป็นจิตวิญญาณในแง่ที่ว่า เป็นการเปิดมุมมองความเข้าใจใหม่ที่มีต่อเรื่องหนึ่ง ๆ ด้วยความเท่าทันกรอบความเชื่อหรือมุมมองการให้ความหมายในตัวผู้วิจัยเองก่อนเป็นสิ่งแรก นี่จึงนำมาซึ่งการเห็นถึงความเป็นจริงที่ลุ่มลึก แทนที่จะเห็นไปตามสิ่งที่ปรากฏอยู่อย่างเป็นมิติเดียวแบบแบนราบ
ด้วยเหตุนี้ การเขียนเรื่องเล่าแบบจิตวิญญาณ จึงเป็นการเดินทางภายในของตัวผู้เขียนเอง การเขียนแล้วนำมาสะท้อนใคร่ครวญเป็นการเปิดพื้นที่ใหม่ ๆ ในการทำความเข้าใจเรื่องนั้น ๆ การเขียนแบบนี้จึงเป็นไปเพื่อความตระหนักรู้ที่มากขึ้น มิใช่แค่การเขียนเพื่อการจับประเด็นเพียงอย่างเดียว
งานวิจัยอ่านสนุกชิ้นที่สองที่จะขอแนะนำก็คือ Layered Reflections on a Written Story Through Real-Time Conversation ของ Thomas Frentz และ Joyce Hocker เป็นงานวิจัยที่กำเนิดจากการเขียนเรื่องเล่าเกี่ยวกับชีวิตตนเองของผู้วิจัย จากนั้น ถูกนำมาผ่านบทสนทนาอย่างลึกซึ้ง (Dialogue) กับผู้วิจัยร่วมอีกท่าน ด้วยการสะท้อนใคร่ครวญ (Reflection) จนเกิดการตระหนักรู้เพิ่มเติมในอีกหลากหลายมิติ ที่เรียกว่า Layered Reflections นำไปสู่ความเข้าใจในเรื่องราวนั้นอย่างเป็นองค์รวมมากขึ้น บางทีอาจเรียกวิธีการแบบนี้ว่า Dialogic Meditative Inquiry เหมือนดังในงานวิจัยของ Kumar & Downey เรื่อง Teaching as Meditative Inquiry: A Dialogical Exploration (2021, Holistic Education Review)
บนความไว้วางใจที่ทั้งสองมีให้แก่กันในฐานะชุมชนนักวิจัยแบบอัตชาติพันธุ์วรรณนา ผู้วิจัยทั้งสองหวังว่า วิธีการทำนองนี้ นอกเหนือจะช่วยให้เกิดการเติบโตขึ้นทางจิตใจของนักวิจัยผู้เล่าเรื่องของตนเองแล้ว ยังจะเป็นต้นแบบที่เมื่อถูกนำไปใช้ร่วมกับการวิจัยในตนเอง / การเขียนเรื่องเล่าของตนเองในโอกาสอื่นใด ก็จะสามารถทำให้งานนั้นเปิดไปสู่มุมมองใหม่ที่กว้างขวางขึ้นกว่าเดิมได้
งานนี้เริ่มจาก ทอม ผู้วิจัยหลักได้เขียนเรื่องเพื่อบอกเล่าเกี่ยวกับวัยเยาว์ของตัวเขาเองครั้งที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่ จากนั้น จอยส์ ผู้วิจัยร่วมจะอ่านเรื่องราวนั้นอย่างถี่ถ้วนใคร่ครวญ นำมาสู่บทสนทนาอันลึกซึ้งระหว่างเขาทั้งสอง โดยจอยส์จะอยู่ในบทบาทผู้ซักถามชวนคุย และทอมจะเป็นผู้ตอบ ในบทสนทนานั้น ทั้งคู่จะพากันลงลึกไปสู่การเห็นความหมายใหม่ ๆ ในแบบที่ถ้าทอมใคร่ครวญด้วยตัวเองเพียงลำพังก็อาจไม่เห็น (สิ่งเหล่านั้น) ก็ได้ ขณะที่จอยส์เองก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ จากทอมด้วยเช่นกัน ทั้งคู่จะนำพาบทสนทนานี้ไปสู่ความเห็นความเข้าใจใหม่ ๆ ที่เป็นปลายเปิดและไม่สิ้นสุด มันจะเป็นกระบวนการสืบเนื่องที่ทั้งคู่สามารถกลับมาเรียนรู้ร่วมกันได้อีกเสมอ
ที่ผ่านมา ทอมมักเล่าเรื่องนี้ให้คนรอบตัวฟังเสมอ ๆ ในลักษณะที่เป็นเรื่องขำ ๆ แต่คนฟังจะทราบว่า มันมีบางอย่างที่สำคัญและไม่ขำอยู่ในเรื่องนั้น แต่กลับเป็นอะไรที่ก่อกวนและยังไม่ลงตัว และทอมเองก็ยินดีที่จะรับความช่วยเหลือจากเพื่อน (จอยส์) ที่จะพากันสาวลึกลงไปว่า อะไรคือสิ่งที่ยังก่อกวนและไม่ลงตัวอยู่ในเรื่องนี้
เรื่องของทอม เกิดขึ้นเมื่อปี 1954 เมื่อครั้งที่เขาอายุ 15 ปี และอาศัยอยู่กับพ่อและแม่ของเขา ณ บ้านแห่งหนึ่งริมทะเลสาบ ในรัฐวิสคอนซิน ทอมเล่าถึงความบู๊และลุยแบบสุด ๆ ของพ่อของเขาว่า พ่อไปหาเครื่องพ่นไฟที่ทหารใช้ เอามาเผาเศษใบไม้แห้งในช่วงเดือนฤดูใบไม้ร่วง เพราะขี้เกียจกวาดซ้ำ ๆ เวลาที่ใบไม้เหล่านั้นถูกลมพัดปลิวไปทั่ว ทอมเล่ามันแบบขำ ๆ และฉายภาพให้ดูสุดขั้ว เช่น
บ่ายวันเสาร์ที่เย็นเยียบเงียบสงบตอนต้นเดือนตุลา ฉับพลันไอ้เจ้า “เทียนไฟแท่งโต” (เครื่องพ่นไฟของทหาร) ของพ่อก็เริ่มคำรามเสียงทำงาน แม่และผมกำลังเพิ่งทานอาหารกลางวันเสร็จ พอดีกับที่บ้านเราทั้งหลังถูกเขย่าด้วยเสียงกัมปนาทดุจเครื่องบินเจ็ตระเบิดตัวผ่านกำแพงเสียง
“เสียงอะไรวะนั่น!” ผมตะโกนลั่น ขณะที่เราทั้งสองพุ่งทะยานไปที่หน้าต่างหน้าบ้าน
นั่น เราเห็นพ่อกำลังยืนอยู่บนปลายแหลมที่ยื่นลงไปในทะเลสาบ หลังสะพายเครื่องพ่นไฟ เจ้าเทียนไฟแท่งโต อยู่ ปลายเครื่องที่เห็นกำลังพ่นเปลวระเบิดนาปาล์มพุ่งยาวออกไปในผืนน้ำไกลกว่า 10 เมตร ผมกำลังจะพุ่งไปที่ประตูแต่แม่จับแขนผมไว้แน่น
“อย่าเข้าใกล้เกินกว่าระยะ 50 เมตรจากสิ่งนั้น!” แม่รีบห้ามผม
“แต่แม่ …”
“อย่ามา ‘แต่แม่’ กับแม่นะ ถ้าพ่อเฮงซวยของเจ้าอยากจะเผาตัวเอง ก็ปล่อยเขาไป แต่เจ้าไม่ต้องเอาตัวเองไปย่างสดกับเขาเพื่อจะพิสูจน์อะไรกับแม่นะ”
ในเหตุการณ์นั้น ทอมเล่าว่า พ่อของเขาดูภูมิใจสุด ๆ ราวกับกษัตริย์อาเธอร์แกว่งไกวดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ ที่เขาสามารถเผากองใบไม้ให้ไหม้เป็นจุล กิ่งไม้ถูกย่างฉ่า กระป๋องเบียร์ละลาย กล่องโฟมระเบิด และคางคกอีกสองสามตัวถูกเผา ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที
อีกเหตุการณ์หนึ่ง เกิดขึ้นตอนหน้าหนาว เมื่อพ่อของทอมประดิษฐ์รถสโนว์โมบิลขึ้นมาจากหัวเครื่องบินเก่าเซสน่า มาติดกับเครื่องยนต์ไลคัมมิ่งขนาด 300 แรงม้า แล้วยึดเข้ากับฐานสกี ซึ่งแน่นอนว่า นี่คือของเล่นใหม่ที่พ่อตั้งใจจะพาทอมไปขี่ตะลุยหิมะด้วยกัน ขณะที่แม่พอรู้เรื่องนี้ก็มีใบหน้าเรียบเฉย หวั่นใจ และแค้นเคืองอยู่ลึก ๆ แล้วทอมก็เล่ามาถึงฉากตื่นเต้นที่สุดตอนที่เขากับพ่อแอบไปขี่เจ้าสโนว์โบมิลเล่นกัน
ไอ้สโนว์โบมิลเครื่องนี้เป็นอะไรที่ตื่นเต้น หวาดเสียว และท้าความตายมากที่สุดเท่าที่ผมเคยขี่มา ตลอดเวลาที่เราไถลผ่านผิวทะเลสาบที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ด้วยความเร็วกว่า 100ไมล์ต่อชั่วโมง สิ่งที่ผมมองเห็นมีอยู่อย่างเดียวคือแผ่นหลังของพ่อ ขณะที่หลังผมร้อนและเบียดอยู่กับเครื่องยนต์ประดุจม้า 300 ตัวที่กำลังตะบึงห้อไปข้างหน้า …….
ขณะที่กำลังมุ่งหน้ากลับ พ่อตะโกนขึ้นมาด้วยฟันกรามที่กัดแน่นว่า “เฮ้ย มีน้ำข้างหน้า!”
“อะไรนะ?!?” ผมร้องถาม …..
สโนว์โมบิลกระทบกับแผ่นน้ำแข็งประมาณ 50 เมตรก่อนถึงรอยแตกของน้ำแข็ง ตัวรถทะยานเร็วขึ้นก่อนที่จะกระแทกเข้ากับผืนน้ำด้วยความเร็วกว่า 150 ไมล์ต่อชั่วโมง ผมจำได้ถึงภาพของมวลน้ำผสมน้ำแข็งกระจายขึ้นจากฐานสกี ตัวรถส่ายไปมา และเริ่มจมน้ำลงไปนิดหน่อย มือของผมจะไปคว้าสลักบานประตูให้เปิดแต่พ่อปัดมือผมออกอย่างแรง
“จับแน่น ๆ ไอ้บ้าเอ๊ย เราต้องทำได้ เราต้องทำได้สิ!” พ่อตะโกนใส่ฉัน เป็นเวลาเดียวกับที่สโนว์โมบิลแล่นกลับขึ้นไปบนผืนน้ำแข็งได้อีกครั้ง …..
ทอมเล่าว่า ในคืนหลังจากเหตุการณ์นั้น เขานอนไม่ค่อยหลับ จนผล็อยหลับไปหลังเที่ยงคืน พร้อมกับความฝันที่รู้สึกติดค้างในใจเขาต่อมาอีก 50 ปีของชีวิตของเขา
“ผมเห็นแสงไฟเป็นประกายโชติช่วงขึ้นอยู่นอกหน้าต่าง ในคืนหน้าหนาวที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง เป็นภาพของแสงสีเหลืองทองและร้อนที่เด่นอยู่บนฉากหลังสีขาวเทาของคืนหน้าหนาวที่เย็นเป็นน้ำแข็ง”
ทอมเล่าว่า ตอนนั้นเขาคิดว่ามันคือฝันร้าย ก็แค่นั้น เช้าวันรุ่งขึ้น เขาตึ่นขึ้นมาเพื่อพบว่ารถสโนว์โมบิลของพ่อ บัดนี้ได้ถูกไฟไหม้จนเหลือแต่โครงสีดำ พ่อบอกว่า เขาอาจลืมปิดสวิตช์เครื่องยนต์หรือไม่ก็เครื่องมันคงร้อนจัดจากการที่ต้องไปแล่นอยู่บนผิวน้ำเมื่อวาน อย่างไรก็ตาม ทอมสังเกตได้ว่าน้ำเสียงของพ่อมีความเศร้าสะเทือนใจ
ในฤดูใบไม้ร่วมปีถัดมา ถึงเวลาที่พ่อของเขาจะกลับไป “ทำงานของลูกผู้ชาย” คือใช้เครื่องพ่นไฟทหารเพื่อเผาใบไม้อีกครั้ง แต่ปรากฏว่าเที่ยวนี้มันกลับไม่ทำงาน ไม่มีเชื้อเพลิงเหลืออยู่ในเครื่องเลย ตลอดเวลา ทอมเห็นแม่นั่งจิบกาแฟและสูบบุหรี่อยู่ และเมื่อเธอเหลือบไปมอง เจ้าเทียนไฟแท่งโต ที่นอนสงบแน่นิ่งอยู่ พลันก็มีรอยยิ้มอ่อน ๆ ปริศนาคืบเคลื่อนมาบนใบหน้าของเธอ
“แล้วตอนนั้นเอง ผมก็เริ่มรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
(ยังมีต่อ)
วันที่เขียน: 24 กุมภาพันธ์ 2566
แหล่งข้อมูล: Homemade 35