สรุปภาพรวมการจัดงาน เวทีจิตตปัญญาเสวนา ครั้งที่ 81 “โอบกอดผู้ดูแล…ประสบการณ์ภายในของผู้ดูแลผู้ป่วยในครอบครัว”

Heart

Experiences Relationship

ศรายุทธ์ ทัดศรี และ อริสา สุมามาลย์

เวทีจิตตปัญญาเสวนา ครั้งที่ 81

โอบกอดผู้ดูแล…ประสบการณ์ภายในของผู้ดูแลผู้ป่วยในครอบครัว”

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม 2567 เวลา 09.00 – 16.00 น.

ณ บ้านเซเวียร์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

ผู้ร่วมเสวนา

อาจารย์และศิษย์เก่าศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้มีประสบการณ์ในการทำวิจัยโลกภายในที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยในครอบครัว ได้แก่

อ.ดร.ภญ.ชรรินชร เสถียร (หัวข้อวิจัย: การเติบโตภายในบนเส้นทางความเป็นแม่ของฉัน) โดยเป็นผู้มีบทบาทในการดูแลคนใกล้ตัวโดยจะต้องรับบทเป็นแม่ที่จะต้องดูแลลูกและจะมีการดูแลพ่อและแม่ ซึ่งเป็นวัยแซนวิชที่จะต้องดูแลรุ่นก่อนหน้าและรุ่นหลังตัวเอง

อ.ดร.ปฏิพัทธ์ อนุรักษ์ธรรม (หัวข้อวิจัย: หันหน้าหากันก่อนถึงวันจากลา: การสนทนาเรื่องความตายในครอบครัวของฉัน) โดยเป็นผู้มีบทบาทในการดูแลพ่อกับแม่ที่มีอาการป่วยเป็นมะเร็งแต่รักษาหายและอยู่ในช่วงติดตาม โดยทำหน้าที่เป็นลูกคนเดียวที่มีหน้าที่รับดูแลคนหลาย ๆ คนในครอบครัวทั้งเล็กและใหญ่

คุณปาริชาติ เลิศบุญเหรียญ (หัวข้อวิจัย: โลกภายในของผู้ดูแลผู้ป่วยด้านจิตใจในครอบครัว:งานวิจัยเรื่องเล่าผ่านชีวิตของผู้วิจัย) โดยปัจจุบันเป็นผู้มีบทบาทในการดูแลคุณแม่ที่เป็นโรคสองบุคลิก และโรคเรื้อรังทั่วไปตามวัย และในอดีตที่ผ่านมาก็ได้มีการดูแลพี่สาวที่มีอาการซึมเศร้า

คุณชนะพัฒน์ อิ่มใจ (หัวข้อวิจัย: การสนทนาระหว่างฉันกับแม่: การเปลี่ยนแปลงมิติภายในของผู้ดูแลผ่านการสนทนากับผู้ป่วยอัลไซเมอร์) โดยเป็นผู้มีบทบาทในการดูแลคุณแม่ซึ่งเป็นโรคอัลไซเมอร์

ผู้ดำเนินรายการ

คุณวรรณวิภา มาลัยนวล

อดีตเคยเป็นผู้ดูแลคุณแม่ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายและคุณแม่สามีที่เป็นผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ปัจจุบันเปิดเพจชื่อ “บริการช่วยเหลือผู้ดูแล” ที่ให้บริการพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาล รวมถึงให้คำปรึกษา ช่วยเหลือแบ่งเบาภาระทางใจของผู้ดูแลผ่านทางออนไลน์ นอกจากนี้เป็นกระบวนการ ร่วมกับกลุ่ม Peaceful Death ในโครงการชุมชนกรุณาเพื่อการอยู่และตายดี

สรุปภาพรวมการจัดงาน

การเสวนาหัวข้อ “ประสบการณ์ภายในของผู้ดูแลผู้ป่วยในครอบครัว” เริ่มต้นประเด็นโดยได้นำพาให้ผู้เข้าร่วมได้เห็นถึงประสบการณ์และอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบทบาทของ “ผู้ดูแลผู้ป่วยในครอบครัว” ซึ่งมักจะประสบกับความกังวล ความกลัว ความรู้สึกผิด รวมถึงความรู้สึกอื่น ๆ เช่น ความคาดหวัง ความน้อยใจ ความโกรธ เป็นต้น ซึ่งการดูแลผู้ป่วยในครอบครัว โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยด้วยโรคร้ายแรง เป็นภาระหนักทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้เกิดความกดดันและความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านี้ได้ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะความกลัวสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ความไม่แน่ใจในอนาคต และความรู้สึกผิดที่ดูแลไม่ดีพอ นอกจากนี้ ความไม่เข้าใจในภาวะของผู้ป่วย ยังส่งผลให้เกิดความพยายามปฏิเสธความจริง อยากให้หาย อาการสับสนทางพฤติกรรม ทำให้เกิดความโกรธ หนี หรือพยายามห้ามผู้ป่วย จนกระทั่งได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจและยอมรับมากขึ้นในภายหลัง

ในการเสวนามีเนื้อหาหัวข้อการเสวนาที่อธิบายถึงประสบการณ์และอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ที่ผู้ดูแลผู้ป่วยในครอบครัวต้องเผชิญ ซึ่งได้แก่ ความกังวล ความกลัว และความรู้สึกผิด การดูแลผู้ป่วยในครอบครัว โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยด้วยโรคร้ายแรง เป็นภาระหนักที่ทำให้เกิดความกังวลและความกลัวต่อสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา รวมถึงกลัวว่าจะดูแลไม่ดีพอ จึงเกิดความรู้สึกผิด เหล่านี้เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการดูแลผู้ป่วย แม้ภายหลังจะสามารถควบคุมความกลัวได้มากขึ้น แต่เมื่ออาการของผู้ป่วยทรุดหนัก ความกลัวสูญเสีย ความรู้สึกเหนื่อยล้า และผิดที่ดูแลไม่ดีพอ ก็จะกลับมาอีกครั้ง บางครั้งยังมีความน้อยใจที่ได้รับความสนใจน้อยกว่าบุคคลอื่น นอกจากนี้ ยังมีความคาดหวังให้ผู้ป่วยหายจากโรค ซึ่งเป็นการปฏิเสธความจริง จึงพยายามห้ามหรือหนีเมื่อผู้ป่วยมีอาการสับสน ซึ่งก่อให้เกิดความกวนใจและรบกวนตลอดเวลา ซึ่งในระยะแรก อารมณ์เหล่านี้จะมีอย่างรุนแรง เนื่องจากยังไม่เข้าใจตัวเองมากนัก แต่เมื่อมีประสบการณ์และเรียนรู้เพิ่มขึ้น จะสามารถควบคุมอารมณ์ ยอมรับสถานการณ์และความเป็นจริงได้มากขึ้น การเสวนาเริ่มต้นด้วยการนำเสนอประสบการณ์และอารมณ์ที่ผู้ดูแลต้องเผชิญ ซึ่งประกอบด้วยความกังวล ความกลัว ความรู้สึกผิด ความคาดหวังให้ผู้ป่วยหายดี ความน้อยใจ และความโกรธ การดูแลผู้ป่วยในครอบครัว โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยด้วยโรคร้ายแรง เป็นภาระหนักทั้งกายและใจ ทำให้เกิดความกดดันและความกลัวสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ความไม่แน่ใจในอนาคต และความรู้สึกผิดที่อาจดูแลไม่ดีพอ บางครั้งความไม่เข้าใจภาวะของผู้ป่วยทำให้เกิดการปฏิเสธความจริง อยากให้ผู้ป่วยหายดี ซึ่งเป็นการปฏิเสธความจริง บางครั้งยังมีความน้อยใจที่ผู้ดูแลได้รับความสนใจน้อยกว่าบุคคลอื่น เหล่านี้เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการดูแลผู้ป่วย ซึ่งก่อให้เกิดความกวนใจและรบกวนตลอดเวลา ซึ่งในระยะแรก อารมณ์เหล่านี้จะมีอย่างรุนแรง เนื่องจากยังไม่เข้าใจตัวเองมากนัก แต่เมื่อมีประสบการณ์และเรียนรู้เพิ่มขึ้น จะสามารถควบคุมอารมณ์ ยอมรับสถานการณ์และความเป็นจริงได้มากขึ้น

ในประเด็นของความภาคภูมิใจในฐานะของการเป็นผู้ดูแล พบว่าวิทยากรได้กล่าวถึงประสบการณ์ชีวิตในช่วงเวลาสำคัญ ซึ่งมีลักษณะและความสัมพันธ์เกี่ยวกับ (1) การได้ใกล้ชิดและดูแลคุณพ่อในช่วงหลังการสูญเสียพี่สาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาพิเศษที่ได้เห็นความเปราะบางของพ่อและได้แสดงความรักให้กัน (2) การได้ดูแลผู้อื่นเป็นสิ่งที่ให้ความสุข ความภาคภูมิใจ และทำให้รู้สึกว่าได้แสดงคุณค่าของตนเองออกมา เช่นเดียวกับที่แม่เคยดูแลตอนเด็ก (3) การทำวิจัยเรื่องความตายช่วยให้คนในครอบครัวเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น (4) ช่วงเวลาเหล่านี้ทำให้มีความทรงจำดี ๆ และได้เห็นการพัฒนาตนเองและความเข้าใจของลูกผ่านพฤติกรรมของลูก ซึ่งเปรียบเสมือนน้ำที่คอยรดน้ำใจให้ชุ่มชื่น นอกจากนั้นแล้วยังมีบทเรียนและการเรียนรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ชีวิตเกี่ยวกับการจัดการกับอารมณ์และสถานการณ์ยาก ๆ โดยมีประเด็นสำคัญคือ (1) การตระหนักถึงอันตรายของความโกรธที่อาจนำไปสู่พฤติกรรมรุนแรงได้ หากไม่สามารถควบคุมได้ (2) ความไม่เข้าใจธรรมชาติของผู้สูงวัย เช่น โรคสมองเสื่อม ทำให้เกิดความโกรธและต้องปรับวิธีการดูแล (3) การยอมรับความกลัวและทำงานกับมันเป็นสิ่งสำคัญ มากกว่าการพยายามขจัดความกลัวนั้นออกไป (4) ต้องยอมรับข้อจำกัดของตนเองที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนอื่นได้ (5) การติดอยู่กับอุดมคติเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่ควรอยู่กับความเป็นจริงแทน (6) การตัดสินใจของคนอื่นในช่วงเวลานั้น ๆ อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาแล้ว ต้องเคารพการตัดสินใจนั้น (7) การไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของคนที่รักเกิดจากความคาดหวังให้เหมือนเดิม แต่แท้จริงเป็นความคาดหวังที่จะไม่ต้องกังวลกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นสะท้อนบทเรียนเกี่ยวกับการจัดการอารมณ์ ยอมรับข้อจำกัด ความเป็นจริง และการดำรงชีวิตอยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มที่

ในกระบวนการศึกษาวิจัยตนเองทำให้ได้กลับมาทบทวน สังเกตตนเอง โดยเฉพาะความกลัวที่เป็นสิ่งขับเคลื่อนการกระทำในบทบาทการดูแลผู้อื่น การนำหลักการภาวนาและการเคลื่อนไหวมาใช้ช่วยให้เข้าใจตนเองลึกซึ้งขึ้น โดยวิธีการสำคัญคือการเขียนบันทึกประจำวัน อนุญาตให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นโดยไม่ตัดสิน จากนั้นอ่านทบทวนซ้ำ เป็นพื้นที่ไม่ต้องเป็นอะไรและเลิกตัดสินตนเอง การมีช่วงพักสั้น ๆ ในชีวิตประจำวันเพื่อกลับมาอยู่กับตัวเอง ไม่ต้องรับบทบาทใด ก็ช่วยพัฒนาตนเองได้เช่นกัน เมื่อเข้าใจการภาวนามากขึ้น จึงเห็นว่าการพักนั้นใกล้เคียงการภาวนา การฝึกฟังอย่างลึกซึ้งและไม่ตัดสินช่วยให้เข้าใจความเป็นมนุษย์ของตนเองมากขึ้น นำมาใช้กับการสังเกตตนเองและปล่อยให้เป็นตัวเองกับคนใกล้ชิด เมื่อเกิดสิ่งผิดปกติจะนำกลับมาทบทวน จิตตปัญญาศึกษาจึงเปิดมุมมองใหม่ต่อความทุกข์และทำให้มีจิตใจที่เปิดกว้างยิ่งขึ้น

“…การได้ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล ทำให้เรารู้ถึงคุณค่าที่เรา ว่ามีและทำไปเพื่อใคร และในขณะที่อยากจะให้ภาระหมดไป เราอาจจะโหยหาความรู้สึกนี้อยู่ก็ได้…”

คุณวรรณวิภา มาลัยนวล

“…ความสุขมันไม่ใช่จากข้างนอก แต่มาจากข้างใน จริง ๆ ทุกคนมีความสุขนั้นอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ที่เราไม่รู้สึกเพราะมีหลายอย่างที่รบกวน หากรู้สึกว่าความทุกข์ที่เข้ามาในชีวิตแล้วเราเลือกที่จะเก็บเอาไว้ก็จะทำให้เราเป็นทุกข์ หากเราช้าลงและสังเกตว่าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เราไม่ต้อนรับ แค่เพียงรับรู้และปล่อยให้ความทุกข์ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ได้รับเชิญนี้ออกไป…”

อ.ดร.ภญ.ชรรินชร เสถียร

“…ครอบครัว คนที่รัก เราขอบคุณด้วยใจตลอดมา รู้สึกได้ถึงคำขอบคุณที่เราได้ให้อยู่แล้ว และอยากจะขอบคุณชีวิตที่ได้มอบประสบการณ์ที่ไม่พึงปรารภนาให้กับเรา ทำให้เรารู้ว่าเราเกิดมาได้เป็นคนจริง ๆ มันรู้สึกอย่างไร เพราะเราควบคุมอะไรไม่ได้ แม้จะทำให้เราเสียอะไรบ้างอย่าง แต่ชีวิตก็ได้มอบคืนให้เราด้วยเช่นกัน…”

ดร.ปฏิพัทธ์ อนุรักษ์ธรรม

“…ในขณะที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล เราไม่ได้กลับมาอยู่กับเสียงของตัวเอง แต่ด้วยการสังเกตและการรับฟัง ทำให้เราได้ค่อย ๆ เข้าใจความเป็นมนุษย์ของตัวเองได้มากขึ้น … เป็นสิ่งที่ค่อย ๆ เปิดพื้นที่ให้เราได้กลับมาทบทวน ใคร่ครวญตัวเอง จิตตปัญญาให้มุมมองกับความทุกข์ในรูปแบบใหม่ รู้สึกว่าจิตตปัญญาเป็นสิ่งที่ช่วยเปิดพื้นที่ความเป็นไปได้ ให้มีจิตใจที่เปิดกว้างมากขึ้น”

 คุณปาริชาติ เลิศบุญเหรียญ

“…อยากขอบคุณความรัก ทำให้เห็นความดีงามของสิ่งที่อยู่รอบตัวที่คนรอบข้างพยายามที่จะส่งมอบให้เราอยู่ตลอดเวลา เป็นความรักที่เชื่อมโยงกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เป็นพลังที่ส่งต่อมาตลอด อธิบายไม่ได้ แต่รับรู้ได้ และอยากให้มั่นคงต่อไป เป็นความดีของเราและทุกคนที่ได้เห็น”

คุณชนะพัฒน์ อิ่มใจ

ในการเสวนาช่วงบ่าย กระบวนกรเริ่มจากการตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม จากนั้นนำผู้เข้าร่วมทำกิจกรรมผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ต่อด้วยกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อสำรวจตัวตน ประสบการณ์การเป็นผู้ดูแล และการแบ่งปันประสบการณ์ในกลุ่มย่อย มีการฝึกทักษะการรับฟังอย่างลึกซึ้ง สะท้อนความรู้สึก และกล่าวชื่นชมกัน หลังจากนั้นรวมกลุ่มใหญ่เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ได้รับฟัง พร้อมสะท้อนมุมมองต่าง ๆ ก่อนปิดท้ายด้วยการโอบกอดตนเอง ทำสมาธิกับลมหายใจ และเขียนจดหมายถึงตัวเองเพื่อสะท้อนคุณค่าในตนเอง และในช่วงสุดท้ายเป็นการสะท้อนกระบวนการ ผู้เข้าร่วมแสดงความขอบคุณต่อการจัดกิจกรรม วิทยากร และเพื่อนผู้ชักชวน พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้รับจากการเข้าร่วม เช่น ได้รับแนวทาง แนวคิดในการดูแลผู้อื่น รู้ว่าทุกอย่างอยู่ที่จิตใจของตนเอง ได้มีพื้นที่ดูแลตัวเอง รู้สึกปลื้มปีติที่ได้แลกเปลี่ยนเรื่องราว มีการตระหนักรู้ตนเองผ่านการฟังเรื่องราวผู้อื่น เห็นคุณค่าที่เหนือกว่าวัตถุขณะดูแลผู้อื่น และเห็นชีวิตผู้ดูแลมีความซับซ้อน การอนุญาตให้ตนเองและผู้อื่นผิดพลาดได้ และผู้เข้าร่วมหลายคนรู้สึกขอบคุณตนเองที่มาเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้

ร่วมอ่านบันทึกเวทีเสวนาฉบับเต็มได้ที่ : https://drive.google.com/file/d/1TIfRYwtf53otwgp6p9BBJ3gccOJNJQh0/view?usp=sharing

หากท่านสนใจศึกษางานวิจัยที่ผู้ร่วมเสวนากล่าวถึงในงาน สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ ดังนี้

ปฏิพัทธ์ อนุรักษ์ธรรม. (2560). หันหน้าหากันก่อนถึงวันจากลา: การสนทนาเรื่องความตายในครอบครัวของฉัน [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยมหิดล]. Mahidol University Library and Knowledge Center. 

ลิงค์ : https://library.mahidol.ac.th/search/t?SEARCH=หันหน้าหากันก่อนถึงวันจากลา&sortdropdown=-


ชรรินชร เสถียร. (2558). งานวิจัยเรื่อง การเติบโตภายในบนเส้นทางความเป็นแม่ของฉัน [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยมหิดล]. Mahidol University Library and Knowledge Center. 

ลิงค์ : https://library.mahidol.ac.th/search~S4?/a{u0E0A}{u0E23}{u0E23}{u0E34}{u0E19}{u0E0A}{u0E23}/

Satian, C. & Ruktaengam, H. (2024). Mindful Motherhood: A Narrative Research of a  Mother Raising a Special Needs Child. Journal of Buddhist Anthropology. 9(1): 23-34

ลิงค์ : https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSBA/article/view/269839

หรือหากสนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อฝ่ายบริหารงานวิจัย ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ที่ 02-441-5022-23 ต่อ 17

วันที่เขียน: 28 พฤษภาคม 2567

แหล่งข้อมูล: ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล 

บทความที่เกี่ยวข้อง

Blogs

Homemade 35

บทแนะนำงานวิจัยแบบ Spirituality Ep.3 อัตชาติพันธุ์วรรณนากับการพัฒนาครู …..

Heart

Experiences

Blogs

บทแนะนำงานวิจัยแบบ Spirituality Ep.1(2) ……. เรื่องของฉัน  วันที่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นคนขาว

Head

Experiences

Blogs

Homemade 35

บทแนะนำงานวิจัยแบบ Spirituality   Ep.2(2) บทสะท้อนตนเองผ่านการสนทนา …..

Head Heart

Experiences

แชร์

แชร์ผ่านช่องทาง

หรือคัดลอก URL