ในอีพีนี้ จะขอแนะนำงานวิจัยเรื่อง Collaborative Autoethnography as a Pathway for Teacher Learning ของ Nugrahenny Zacharias และ Galina Shleykina ครูต่างชาติสองท่านที่สอนภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา งานนี้เป็นตัวอย่างของการเติมเต็มความหมายเวลาที่เราจะประเมินกิจกรรมการเรียนรู้อะไรสักอย่าง โดยทั่วไป ผู้จัดหรือวิทยากรมักให้ผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถามเชิงปริมาณ หรือถามคำถามอะไรบางอย่างสั้น ๆ แต่การจะได้เห็นภาพที่แท้และคมชัด มันทำอะไรได้มากกว่านั้นหรือเปล่า
ในงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยได้กล่าวสิ่งสำคัญในตอนท้ายไว้ว่า
งานเขียนแบบอัตชาติพันธุ์วรรณนา มิได้ให้ข้อค้นพบที่เป็นสามัญการเหมือนในวิธีของการวิจัยเชิงปริมาณ แต่จะให้นัยความหมายอันรุ่มรวยและเคลื่อนย้ายได้ ไปสู่การทำความเข้าใจกับบริบทที่เป็นเรื่องของการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาอื่น ๆ ได้
งานวิจัยนี้พูดถึงการเขียนอัตชาติพันธุ์วรรณนาของครูทั้งสอง ซึ่งให้รายละเอียดของประสบการณ์ที่ทั้งสองคนเจอในการสอนอย่างละเอียด นำมาสู่การสะท้อนใคร่ครวญที่มีความหมาย สามารถแก้ปัญหาที่ติดขัดบางประการ และเห็นหนทางที่เป็นประโยชน์ในการนำกลับไปใช้ในชั้นเรียนได้ต่อไป
ครูทั้งสองท่านเป็นสมาชิกของชุมชนครูที่เรียกว่า Faculty Learning Communities (FLC) ซึ่งเป็นพื้นที่พบปะกันระยะยาว เพื่อให้ครูแต่ละคนได้แชร์ประสบการณ์การสอนเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ต่อกัน งานวิจัยนี้เริ่มต้นเมื่อทั้ง เฮนนี และ กาลินา เขียนเรื่องเล่าประสบการณ์ของตัวเองจากที่ได้เข้าร่วมวง FLC จากนั้น ได้ร่วมกันกำหนดทิศทางของการเขียน ให้เห็นว่า “การเขียนนี้จะช่วยสานการเรียนรู้ของทั้งสองคนเข้าหากันได้อย่างไร” ขั้นตอนต่อมาในการลงมือเขียนจริง เมื่อต่างคนต่างเขียนเรื่องของตัวเองและสามารถสะท้อนใคร่ครวญได้โดยอิสระ ปราศจากความเห็นของอีกฝ่าย เพื่อว่าหลังจากนั้น ทั้งสองจะมานัดพบกันเป็นประจำเพื่ออภิปรายเรื่องราวของกันและกัน มีการให้เสียงสะท้อน มีการจดบันทึกข้อมูลใหม่ ๆ ที่ทั้งคู่ค้นพบ ขั้นตอนสุดท้าย ผู้วิจัยทั้งสองคนได้มาเจอกัน แลกเปลี่ยน ทบทวน และตั้งคำถามสืบค้นในเรื่องราวของกันและกัน เพื่อสกัดเอาความหมายและข้อสรุปสำคัญออกมาเป็นครั้งสุดท้าย
เรื่องราวของเฮนนี สรุปสั้น ๆ ได้ว่า เธอค้นพบมุมมองแนวคิดของการสอนแบบใหม่ โดยใช้ความสัมพันธ์ครูศิษย์เป็นตัวตั้ง จากแต่ก่อนที่เธอเป็นคนเคร่งเครียดเอาจริงเอาจังกับการสอน มุ่งเน้นบทเรียนและวิชาการเป็นหลัก เปลี่ยนมาเป็นการเห็นพื้นที่ของการเรียนการสอนแบบใหม่ที่มีเรื่องของ “การเล่น” และการให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมสอน มากขึ้น เธอได้ใช้เรียงความของนักศึกษาเธอมาประกอบการสอน รวมถึงให้โอกาสนักศึกษาได้ปรับแก้โจทย์หรือคำสั่งที่เธอได้ให้ไป กรณีที่นักศึกษาเห็นอะไรที่ดีกว่านั้น เหล่านี้ช่วยสะท้อนว่า ครูไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ และการเรียนการสอนสามารถเกิดขึ้นบนความสัมพันธ์แบบนี้ได้
“ครูได้โพสต์ตัวอย่างสองย่อหน้า ที่พูดถึงการใช้กิจกรรมในชั้นเรียน 2 กิจกรรมหรือมากกว่าเพื่อเป็นจุดเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง
“ลี จากชั้นเรียนภาษาอังกฤษ 109 CB ได้ช่วยทำให้ครูเห็นว่า ข้อความที่ครูใช้เป็นตัวอย่างในการเรียนเมื่อวันพุธหลายอัน ไม่ได้มีกิจกรรม 2 กิจกรรมในฐานะจุดสร้างการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ครูเลยได้มาโพสต์ตัวอย่างสองย่อหน้าที่มี สอง กิจกรรมสู่การเปลี่ยนแปลงหรือมากกว่า ให้สำหรับการเรียนโมดูล สัปดาห์ที่ 15 นะคะ ครูขอขอบคุณลีมาก ๆ ที่ได้ช่วยประเมินตัวอย่างข้อความของครูอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วพบกันวันพรุ่งนี้นะคะ ทุกคน!”
ส่วนเรื่องราวของกาลินานั้น เธอเป็นครูภาษาอังกฤษที่มาจากรัสเซีย ซึ่งแน่นอนว่ามีประเด็นของการเป็นคนต่างชาติ ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ และพูดติดสำเนียง เหล่านี้คือข้อกังวลใหญ่หลวงที่สกัดกั้นไม่ให้เธอสามารถเป็นครูต้นแบบที่ดีได้ งานเขียนของกาลินา ได้ค่อย ๆ ถักทอเรื่องราวและบอกเล่าถึงความยากลำบากที่เธอได้เผชิญมานี้ จนนำไปสู่มุมมองใหม่ของการเป็นครูต้นแบบ นั่นก็คือ การที่เธอไม่ใช่ Native และพูดติดสำเนียงนี่แหละ คือประสบการณ์ชั้นดี เป็นประสบการณ์มือหนึ่งที่เธอสามารถแบ่งปันแลกเปลี่ยนให้กับนักศึกษาต่างชาติที่กำลังเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ และนี่คือคอมเมนต์ของนักศึกษาที่มักเขียนมาหาเธอบ่อย ๆ
“อาจารย์กาลินาคะ อาจารย์มีหนังสือหรือเวบไซต์ที่แนะนำไหมคะ ที่จะช่วยให้เรียนภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น? หนูทราบว่าอาจารย์มาจากรัสเซีย คำถามที่หนูอยากถามอาจารย์มากที่สุดคือ อาจารย์ทำยังไงที่จะเรียนภาษาอังกฤษได้ดี และอาจารย์เรียนรู้ที่จะพูดภาษาอังกฤษบ่อย ๆ กับคน Native ได้ยังไงคะ?”
นี่คือตัวอย่างของการแลกเปลี่ยนและช่วยกันสะท้อนใคร่ครวญเรื่องราวระหว่างกัน จนนำมาสู่การเห็นมุมมองใหม่ที่ต่างออกไปจากเดิม นอกจากนี้ บทสะท้อนภายในเช่นนี้ยังช่วยฉายภาพอย่างละเอียดให้เห็นว่า ผู้เข้าร่วมในวงการเรียนรู้นั้นกำลังเจออะไร และได้รับอะไร อันจะเป็นประโยชน์เพื่อนำไปปรับปรุงโครงสร้างและกระบวนการต่าง ๆ ของโปรแกรมการเรียนรู้นั้นได้ต่อไป
อาจกล่าวได้ว่า การเขียนงานแบบอัตชาติพันธุ์วรรณนา เป็นการเขียนบนฐานของการตระหนักรู้ในตนเองเป็นสำคัญ เป็นการเขียนที่มุ่งเข้าไปทำงานกับชุดความเชื่อพื้นฐานในใจ แล้วนำสิ่งนั้นออกมาเล่าตีแผ่ ให้เห็นถึงการทำงานและผลกระทบของมัน ที่ส่งออกมาสู่ความคิดความเชื่อและการกระทำของคน ๆ นั้นในบริบท ความสำคัญจึงอยู่ที่ บริบทนั้นจะได้ความเข้าใจอะไรดี ๆ ใหม่ ๆ ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าเจ้าตัวที่เป็นปัจเจกบุคคลจะทำงานภายในตนเองจนเกิดการเห็นและเปลี่ยนแปลงจากภายในได้มากน้อยเพียงไรด้วยเช่นกัน
-จบตอน-
วันที่เขียน: 25 กุมภาพันธ์ 2566
แหล่งข้อมูล: Homemade 35