บทแนะนำงานวิจัยแบบ Spirituality Ep.5 ศึกษากระบวนการอบรมเชิงจิตวิญญาณอย่าง ‘ไม่’ เป็นจิตวิญญาณ

HandHeadHeart

Concept/Theory Exercises

Homemade 35

ในอีพีนี้  ขอแนะนำงานวิจัยที่มีดีไซน์คล้ายกับงานวิจัยชิ้นที่แล้ว คือเป็นการวิจัยที่ทำกับกระบวนการอบรมหรือ “เวิร์กชอป” เหมือนกัน  เพียงแต่ระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้ เป็นแบบกระแสหลักทั่วไป (แบบผสมระหว่างเชิงปริมาณกับคุณภาพ)  ที่เป็นที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว   เราลองมาดูเทียบกันบ้างว่า หากเราทำวิจัยแบบที่ระเบียบวิธีไม่ต้องเป็นจิตวิญญาณดูบ้าง (คือ ทำวิจัย ‘เกี่ยวกับ’ จิตวิญญาณ  ไม่ใช่อย่างเป็นจิตวิญญาณ)  ผลลัพธ์ที่ได้จะให้ประโยชน์หรือคุณค่าอย่างไรบ้าง

งานนี้เป็นงานวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ที่ทำผ่านกระบวนการอบรมชื่อ “การนำการภาวนาเจริญสติไปใช้ในการเรียนการสอน / Mindfulness Meditation in Teaching”  กับผู้เข้าร่วมที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยจำนวน 33 คน  ระยะเวลาการวิจัยนาน 2 ปี    งานวิจัยชื่อว่า Professors Practicing Mindfulness: An Action Research Study on Transformed Teaching, Research, and Service  ทำโดย William Brendel และ Vanessa Cornett-Murtada

งานวิจัยได้ถูกออกแบบอย่างรัดกุม เห็นกรอบการทำงาน ตัวอย่างกิจกรรม และแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมชัดเจน  เป็นต้นแบบให้เรานำไปศึกษาและพัฒนาตามได้เลย  เริ่มจากการกำหนดวัตถุประสงค์ของการสัมมนา 4 วันว่า เพื่อให้คณาจารย์ได้มีโอกาสเรียนรู้และฝึกปฏิบัติเจริญสติแบบต่าง ๆ และช่วยนำเสนอหนทางในการนำการเจริญสติเหล่านี้ไปหลอมรวมและทดลองใช้ในการเรียนการสอน การวิจัย และการบริการวิชาการ    โดยในการอบรมประกอบด้วยช่วงเวลาของการฝึกปฏิบัติ 40%  และช่วงการสนทนา ถามตอบ วางแผน และพัฒนาโครงการร่วมกันอีก 60%

ในแต่ละวันจะแบ่งเวลาการอบรมเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนของการนำภาวนาเพื่อสร้างการตระหนักรู้ (เช่น การหายใจ  Body Scan  การเดิน  การเคลื่อนร่างกาย)   ส่วนของการสะท้อนใคร่ครวญถึงประโยชน์ที่จะได้กับการงานและยุทธศาสตร์องค์กร   และส่วนของการสนทนาและวางแผนการนำไปใช้จริงในกลุ่มอาจารย์จากสาขาวิชาต่าง ๆ

ในช่วงของการนำภาวนาแต่ละครั้ง เมื่อภาวนาเสร็จจะตามด้วยการสะท้อนใคร่ครวญในตนเองเงียบ ๆ  แล้วค่อยทำการสนทนาเป็นกลุ่มย่อย เกี่ยวกับประสบการณ์ การเชื่อมโยงกับเรื่องราวในหนังสือ รวมถึงการพัฒนาวิธีการเพื่อนำไปใช้ได้จริง   การสนทนาระดมสมองนี้ อาจแบ่งเป็นกลุ่มย่อย ๆ ตามความสนใจของผู้สนทนา เช่น การออกเกรดประเมินผล การตระหนักรู้ในตัวผู้เรียน / นักศึกษา  การสอนเรื่องสติในและนอกห้องเรียน  และการตระหนักรู้ในตนเองของผู้สอน    ในช่วงท้ายการอบรม ผู้เข้าร่วมจะได้นำเสนอโครงการของตนเอง 30 นาที เพื่อบอกเล่าผลการปฏิบัติและการนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้ในการงาน รวมถึงการสร้างเครือข่ายกันในอนาคต

ระหว่างกิจกรรมการอบรม ผู้เข้าร่วมจะเริ่มมีโอกาสเห็น Dilemma ในตนเอง โดยเฉพาะเมื่อได้ตระหนักว่า การเจริญสติยากกว่าที่ตนเองเคยคิด และสิ่งนี้สามารถส่งผลเสียต่อการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะอาจารย์ได้  แต่ละคนจะมีโอกาสได้สำรวจตนเองและวางแผนเพื่อการเปลี่ยนแปลงตนเอง  

หลังการอบรม ผู้เข้าร่วมแต่ละคนจะเข้าสู่กระบวนการ Action Research ของตนเองอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 2 ปี  เพื่อออกแบบหนทางการนำไปใช้จริง ลองฝึกฝนและทดลองนำไปใช้บ่อย ๆ เพื่อเก็บผลที่ได้นำมาแลกเปลี่ยนแบ่งปันในกลุ่ม และปรับปรุงการนำไปใช้ในครั้งต่อ ๆ ไป

ขั้นที่ 1 ของกระบวนการ AR คือการออกแบบวางแผน  โดยผู้เข้าร่วมจะเขียนหนทางการนำเรื่องสติ (แบบต่าง ๆ) ไปใช้จริง ลงบนโพสต์อิต หนึ่งแบบต่อหนึ่งแผ่น  แล้วนำโพสต์อิตทั้งหมดจากทุกคนมาจัดกลุ่มให้ทุกคนได้ดู    จากนั้น แต่ละคนเลือกหนทางที่ตนเองสนใจอยากนำไปใช้งานจริงแล้วคนที่สนใจแบบเดียวกันจะมารวมตัวเป็นทีมเดียวกัน  เพื่อคิดวิสัยทัศน์การทำงาน กำหนดขั้นตอนการปฏิบัติ รวมทั้งอุปสรรคและตัวช่วย และวิธีประเมินผลสัมฤทธิ์

ขั้นที่ 2 คือการนำไปลงมือปฏิบัติ  นำไปลองใช้จริงใน Setting การสอนของแต่ละคน  ระหว่างนี้มีการสนทนาแลกเปลี่ยน (ออนไลน์) กันและรับฟังข้อชี้แนะจากทีมกระบวนกรอยู่เป็นระยะ   ตัวอย่างของการฝึกปฏิบัติเชิงพฤติกรรมใหม่ ๆ ที่คณาจารย์แต่ละคนเลือกนำไปปฏิบัติ เช่น

– ฝีกที่จะสอนโดยไม่เอาเกรดเป็นตัวตั้ง

– ออกข้อสอบอย่างมีสติ

– ตระหนักรู้ว่าตัวเองใจลอยไปเรื่องอื่นเวลาที่ตรวจข้อสอบนักศึกษา

– ออกแบบกิจกรรมหรือการบ้านที่ช่วยให้นักศึกษาได้ใช้เรื่องสติในกระบวนการเรียนรู้

– ตั้งใจรับฟังนักศึกษาและฟังให้ลึกซึ้งขึ้น

– เวลาที่ชั้นเรียนเริ่มเกิดความขัดแย้ง  ให้กลับมาเท่าทันกลไกป้องกันตัวเองแล้วรับมือกับมันอย่างมีสติ

– สังเกตเห็นว่านักศึกษาเริ่มเบื่อหน่ายหรือสับสน และทำการปรับวิธีสอน ณ ตอนนั้น ๆ

– นำเรื่องสติให้เข้ามาอยู่ในเนื้อหาการสอนตอนปฏิบัติ

– ทำกิจกรรม Free-writing ประจำวันอย่างมีสติมากขึ้น

– จบคลาสด้วยหนึ่งลมหายใจ  ไม่ใช่จบคลาสแบบหมดลม!

– ค้นหาความสุขสงบในงานที่ไม่น่าทำ

– รู้สึกผูกพันกับการสอนมากขึ้นด้วยการอยู่กับปัจจุบันขณะ แทนที่จะรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งกวนใจไม่อยากทำ

– จัดการดูแลความคิดทั้งในอดีตและปัจจุบันได้

– สงบใจด้วยการปล่อยวางกรอบการตัดสิน

– มีความกระตือรือร้น สันติ และเชื่อมั่น  แทนที่จะกระวนกระวาย เปราะบาง หรือผิดหวัง

– หาความสุขจากสิ่งที่ทำ

เป็นต้น

ขั้นที่ 3 คือการสังเกตผล   สมาชิกแต่ละทีมจะสังเกตและจดบันทึกผลการทดลองปฏิบัติจริงอย่างเป็นประจำสม่ำเสมอ โดยพิจารณาตามเกณฑ์ประเมินตามที่ได้ตกลงกันไว้  และได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ

ขั้นที่ 4 คือการสะท้อนใคร่ครวญ  จากผลที่ได้จะนำมาร่วมกันใคร่ครวญเพื่อหาหนทางไปต่อร่วมกัน  นี่เป็นเสมือนเสียงสะท้อนกลับที่ช่วยปรับปรุงการทำงานด้วยการกลับไปทำซ้ำวนหลูป  

ทีมวิจัยเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดด้วยการสัมภาษณ์และทำแบบวัดผลสัมฤทธิ์ในการนำไปใช้งานจริง  (จาก (1) ไม่นำไปใช้จริง  ถึง (5) สามารถนำไปใช้จริงในงานประจำและรักษาความต่อเนื่องได้)     ขณะที่ผลการเปลี่ยนแปลงในตนเองตามแนวคิด TL  ถูกวิเคราะห์ในสองระนาบคือ การเปลี่ยนเชิงพฤติกรรมภายนอก (Objective Reframing)   กับการเปลี่ยนเชิงมุมมองภายใน (Subjective Reframing)  

จากผลการวิจัยเชิงปริมาณ (ซึ่งสะท้อนผลของ TL ที่เป็นการเปลี่ยนเชิงพฤติกรรมภายนอกด้วย) พบว่า การฝึกปฏิบัติเชิงพฤติกรรมที่ถูกนำไปใช้ได้สำเร็จสูงสุด 3 อันดับแรก คือ

– ตั้งใจรับฟังนักศึกษาและฟังให้ลึกซึ้งขึ้น  (คะแนน 4.40 จาก 5)

– เวลาที่ชั้นเรียนเริ่มเกิดความขัดแย้ง  ให้กลับมาเท่าทันกลไกป้องกันตัวเองแล้วรับมือกับมันอย่างมีสติ  (คะแนน 4.10 จาก 5)

– ฝีกที่จะสอนโดยไม่เอาเกรดเป็นตัวตั้ง  (คะแนน 4.10 จาก 5)

ขณะที่ผลเชิงคุณภาพที่สะท้อนการเปลี่ยนเชิงพฤติกรรมภายนอกก็ให้รายละเอียดเพิ่มเติม เช่น อาจารย์ประวัติศาสตร์ศิลป์ท่านหนึ่งเล่าว่า ได้พาทั้งตนเองและนักศึกษาใช้รูปวาด /ผลงานศิลปะ เป็นสิ่งใส่ใจในการฝึกทำสมาธิ   ส่วนอาจารย์อีกท่านที่สอนการสื่อสารได้เล่าถึงการฝึกใช้การฟังอย่างลึกซึ้งแบบใจว่าง (Beginner’s mind) เพื่อรับฟังการนำเสนอผลงานของนักศึกษา (ที่ต้องฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า)

ส่วนผลการเปลี่ยนแปลงที่เป็นการเปลี่ยนเชิงมุมมองภายในนั้น  อาจารย์ประวัติศาสตร์ศิลป์ท่านนั้นได้อธิบายลงลึกไปในใจของตัวเองว่า  ท่านได้เปลี่ยนมุมมองการสอนโดยออกจากการใช้เรื่องราวความรู้ทางประวัติศาสตร์ (ของผลงานชิ้นนั้น) เป็นตัวตั้ง แต่มาอยู่กับการรับรู้ถึงผลงานชิ้นนั้นตรงหน้าอย่างเปิดรับและสดใหม่ “ราวกับมองเห็นสิ่งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต”

อาจารย์อีกท่านจากคณะวิศวกรรมศาสตร์เล่าว่า ท่านค้นพบประโยชน์ของการฝึกสติอย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว คือสามารถทำให้ตนเองและนักศึกษาเข้าถึงการมีความคิดสร้างสรรค์ได้ ด้วยการสลายการยึดติดทางวิธีคิดแบบเดิมลง แล้วเปิดพื้นที่ให้ความคิดได้ก่อร่างผสมผสานกันอย่างอิสระ

การทำสมาธิและเจริญสติช่วยเปิดกล่องความคิดต่าง ๆ ออก  ปลดปล่อยให้ตัวความคิดจากแต่ละกล่องสามารถปฏิสัมพันธ์กันในหนทางใหม่ ๆ   สิ่งนี้คล้ายกับภาวะ Beginner’s mind เมื่อครั้งที่ความคิดเรายังไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบแนวคิดทฤษฎีใด ๆ

ข้างต้นคือตัวอย่างที่ได้จากการสืบค้นเชิงลึกในจิตใจของผู้เข้าร่วมบางคน ที่สะท้อนว่ามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น   ก่อนจบ ผู้วิจัยทิ้งท้ายถึงหนทางที่จะนำไปใช้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงวัฒนธรรมขององค์กรให้กับมหาวิทยาลัย เช่น การพัฒนาหลักสูตรข้ามศาสตร์ที่เกี่ยวกับ Contemplative Studies    สร้างสายสัมพันธ์กับนักริเริ่มในท้องถิ่นที่ทำงานเพื่อการตื่นรู้มีสติ   สร้างชุมชนการเรียนรู้เรื่องสติให้แผ่ขยายทั่วมหาวิทยาลัย  เป็นต้น

การสัมมนาทั้ง 4 วันเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายผลของสิ่งนี้ไปสู่ชีวิตจริง  คณาจารย์ผู้เข้าร่วมย่อมมีโอกาสพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานแบบใหม่ ๆ ได้จากตรงนี้ แต่ในเวลาเดียวกันกลับได้ประโยชน์ที่สำคัญมากไปด้วย นั่นก็คือการทำงานภายในกับตัวเองจนเข้าถึงตัวตนที่ตื่นรู้และจริงแท้มากขึ้น

อาจกล่าวได้ว่า งานวิจัยที่มุ่งออกแบบและทำงานบนกระบวนทัศน์วิทยาศาสตร์ (แม้จะทำเรื่องที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ) ก็มีข้อดีอันเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ  นั่นคือความชัดเจน ตรงไปตรงมา และทำนายผลได้โดยไม่ยุ่งยาก   สามารถนำไปสื่อสารหรือถ่ายทอดให้คนอื่นเข้าใจตามได้ไม่ยากและเกิดความเชื่อมั่นถึงประสิทธิผลของหนทางแบบนี้ได้    การเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณที่มีความเป็นนามธรรมถูกออกแบบให้สัมผัสได้อย่างง่าย ๆ ผ่านพฤติกรรมที่สอดคล้อง ยอมรับได้ และจับต้องได้   ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์ภายในก็ถูกสืบค้นและแปลผลให้คมชัด ตรงตามทฤษฎี และเข้าใจกลไกการทำงาน แม้ว่าคนที่มาอ่านอาจจะยังไม่เคยผ่านประสบการณ์เดียวกันนี้ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์การร่วมเติบโตของผู้วิจัยไปกับงานนี้อาจเป็นอะไรที่สำคัญมาก (หากปรากฏในงาน)  ที่จะช่วยผลักดันการศึกษาแนวนี้ให้เขยื้อนตัวต่อขึ้นไปได้อย่างมีพลัง   อีกทั้งภาพระหว่างกระบวนการ AR ที่เป็นความล้มลุกคลุกคลาน และการปรับแก้ระหว่างทาง  หากถูกนำเสนอออกมาด้วย ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ (ถึงปัจจัยสู่ความสำเร็จ) ไม่น้อย แทนที่จะนำเสนอผลของความสำเร็จแต่เพียงอย่างเดียว

-จบตอน-

วันที่เขียน: 26 กุมภาพันธ์ 2566

แหล่งข้อมูล: Homemade 35

บทความที่เกี่ยวข้อง

Blogs

Homemade 35

บทแนะนำงานวิจัยแบบ Spirituality Ep.3 อัตชาติพันธุ์วรรณนากับการพัฒนาครู …..

Heart

Experiences

Blogs

ลือชัย ศรีเงินยวง

สงบเย็นในโลกยุคโควิด

Head

Experiences Relationship

Blogs

Homemade 35

บทแนะนำงานวิจัยแบบ Spirituality Ep.1(1) จิตใจคนเราพัฒนาได้ไม่หยุดนิ่ง …..

Head

Experiences

แชร์

แชร์ผ่านช่องทาง

หรือคัดลอก URL